Home > Tourism (Page 3)

แกร็บ จับมือ ททท. ชวนเที่ยวไทยหน้าฝน แจกส่วนลดบริการสูงสุดถึง 40%

แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนเที่ยวกระหน่ำ ไม่หวั่นฝนพรำ สัมผัสบรรยากาศเมืองไทยในฤดูฝนภายใต้แคมเปญ “บินพักหลักร้อย หลักพัน ลุ้นรางวัลหลักล้าน” โดยมอบส่วนลดพิเศษสำหรับการใช้บริการแกร็บสูงสุดถึง 40% เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน โดยนักท่องเที่ยวสามารถเรียกใช้บริการ “จัสท์แกร็บ” และ “แกร็บคาร์” พร้อมรับส่วนลดพิเศษ 40% (ไม่เกิน 40 บาทต่อครั้ง) สูงสุดถึง 4 ครั้ง สำหรับการเดินทางในจังหวัดนั้นๆ เป็นครั้งแรก* เพียงใส่รหัส “TATRAIN” นอกจากนี้ แกร็บ ยังมอบส่วนลดมูลค่า 200 บาทให้กับผู้ใช้บริการเช่ารถพร้อมคนขับจาก “แกร็บเรนท์” จำนวน 2 ครั้ง เพียงใส่รหัส “RENTRAIN” สำหรับการใช้บริการในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่ และพัทยา ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 30 กันยายน

Read More

พิษค่าบาทแข็ง ท่องเที่ยวซบ-ส่งออกฟุบ

แม้ว่าพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในนามประยุทธ์ 2/1 จะส่งผลให้สถานการณ์แห่งความคลุมเครือทางการเมืองไทยคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง หากแต่ในอีกด้านหนึ่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยดูจะยังเผชิญกับวิบากกรรมและความผันผวนไม่แน่นอนที่พร้อมจะส่งผลกระทบเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหม่ได้ไม่ยาก ปัจจัยว่าด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่าเป็นประวัติการณ์ และเป็นไปด้วยอัตราเร่งอย่างผิดปกติ ไม่เพียงแต่จะกดดันให้การส่งออกของไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัวมาในช่วงก่อนหน้านี้ ถูกโหมกระหน่ำด้วยปัจจัยลบด้านราคาเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าจากคู่แข่งขันในระดับภูมิภาคยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากประเทศเวียดนาม หรือแม้กระทั่งอินเดีย กรณีดังกล่าวดูจะเห็นได้ชัดจากตัวเลขการส่งออกข้าวในช่วงครึ่งปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีปริมาณลดลงถึงร้อยละ 12 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่าระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายนที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 4.2 ล้านตัน แต่คำสั่งซื้อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มลดต่ำลงเหลือเพียงไม่ถึง 6 แสนตันต่อเดือน และทำให้ประมาณการว่าด้วยการส่งออกข้าวของไทยที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 9.5 ล้านตันหรือเฉลี่ยที่ระดับ 8 แสนตันต่อเดือนดูจะเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือประมาณการส่งออกข้าวที่ 9.5 ล้านตันในปี 2562 นี้ เป็นประมาณการที่ปรับลดลงจากยอดการส่งออกเมื่อปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 11 ล้านตัน ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ผู้ประกอบการส่งออกข้าวประเมินว่าอาจมีการปรับลดเป้าหมายการส่งออกข้าวในปีนี้ให้อยู่ในระดับ 9 ล้านตัน เพื่อให้สอดรับกับข้อเท็จจริงที่ดำเนินอยู่ ตัวเลขการส่งออกข้าวที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่การส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกของ 2562 ไทยจะส่งออกข้าวไปยังจีนรวมเป็นมูลค่า 3.7 พันล้านบาท

Read More

สกสว.หนุนพัฒนาระบบบริหารจัดการท่องเที่ยวไทยในเวทีโลก

สกสว.สนับสนุนเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นทิศทางการพัฒนาระบบการบริหารจัดการท่องเที่ยวไทยในอนาคตให้ตรงจุดสู่ความยั่งยืน นักวิจัยชี้ควรจัดเก็บภาษีและกระจายคืนสู่ท้องถิ่น รวมถึงมีหน่วยงาน ‘คลังสมอง’ ระดับนโยบาย ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาระบบบริหารจัดการการท่องเที่ยวไทยในอนาคต โดยมีผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยงานจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เข้าร่วม ผู้อำนวยการ สกสว. ระบุว่าไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและท่องเที่ยวอยู่ในอันดับ 34 ของโลก เป็นที่น่าสังเกตว่าไทยมีการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ได้เป็นผู้นำในมิติของการบริหารจัดการและขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการท่องเที่ยว นโยบายทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ผ่านมายังไม่ตรงจุดกับการพัฒนาให้เกิดการเดินทางและการท่องเที่ยวของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพทั่วโลก สกสว. หรือ สกว.เดิม ได้สนับสนุนด้านการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง จึงหวังว่าเวทีในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย สกสว.จะยังคงสนับสนุนงานวิจัยที่สามารถสร้างผลกระทบให้กับประเทศ และประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวต่อไป ด้าน รศ. ดร.เทิดชาย ช่วยบำรุง หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง “นโยบายในการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการการท่องเที่ยวไทยในเวทีโลก” จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากฝ่ายการวิจัยมุ่งเป้า สกสว. และผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เป็นหัวหน้าโครงการ นำเสนอผลการศึกษาการวิเคราะห์นโยบายการบริหารจัดการการท่องเที่ยวไทย สเปน และมาเลเซีย ว่าจุดอ่อนสำคัญที่สะท้อนถึงความไม่พร้อมของไทยในการบริหารจัดการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน คือ ขาดนวัตกรรมและเทคโนโลยี

Read More

บทเรียนการท่องเที่ยว กรณีศึกษาศรีลังกาสู่ไทย

เหตุระเบิดถล่มเมืองหลายจุดที่ศรีลังกาในช่วงเทศกาลอีสเตอร์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของผู้คนจำนวนมากแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง แรงระเบิดยังได้ทำลายและสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจของศรีลังกาที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างหนักอีกด้วย ผลกระทบจากแรงระเบิดและเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้น ได้ฉุดให้การท่องเที่ยวของศรีลังกาตกอยู่ในภาวะชะงักงัน และถูกผลักให้หวนสู่ภาวะซบเซาไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ประเทศเกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้ต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองที่ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นิตยสารท่องเที่ยว Lonely Planet ได้ยกให้ศรีลังกาเป็นจุดหมายในการเดินทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจและน่าท่องเที่ยวที่สุดในปี 2019 ด้วยเหตุปัจจัย 3 ประการ ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาที่ผสมผสานกันในลักษณะของสังคมพหุวัฒนธรรม (multi-cultural society) ประกอบกับทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามและเข้าถึงได้ไม่ยาก และนิสัยใจคอของประชาชนในพื้นถิ่นที่พร้อมให้การต้อนรับอาคันตุกะจากต่างแดน ข้อสังเกตของ Lonely Planet ดังกล่าวเกิดขึ้นจากฐานของข้อเท็จจริงที่ว่าภายหลังการสิ้นสุดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธชาวทมิฬที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 3 ทศวรรษ ศรีลังกาได้เร่งฟื้นฟูระบบการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะรถไฟอย่างขนานใหญ่ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางการท่องเที่ยวเพิ่มปริมาณขึ้นด้วยอัตราเร่งควบคู่กับการเกิดขึ้นของโรงแรมที่พักที่เพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย การฟื้นคืนขึ้นมาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวศรีลังกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สามารถประเมินได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าสู่ศรีลังกาจากจำนวน 4.5 แสนคนในปี 2009 มาสู่ที่ระดับ 2.33 ล้านคนในปี 2018 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ควบคู่กับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของรัฐบาลศรีลังกาที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้ได้ ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของศรีลังกามีมูลค่ารวม 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.4 แสนล้านบาท และมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ

Read More

DoiSter Craftstay แบรนดิ้งแบบชาวดอย เสริมความแกร่งให้การท่องเที่ยวชุมชน

การดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันที่มีแต่ความเร่งรีบ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างแสวงหาวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่รีบเร่ง เพื่อผ่อนคลายความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism) หรือโฮมสเตย์ (Home Stay) ซึ่งเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่ได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เน้นความเรียบง่ายและไม่รีบร้อน จึงกลายเป็นตัวเลือกสำคัญเพราะตอบโจทย์สิ่งที่คนในสังคมต้องการ และดูจะได้รับความนิยมไม่น้อย เห็นได้จากแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดและทั่วทุกภาคของเมืองไทย ซึ่งแต่ละชุมชนต่างมีเอกลักษณ์และจุดขายที่แตกต่างกันออกไป ในบรรดาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีอยู่มากมายในหลายพื้นที่นี้ “บ้านห้วยตองก๊อ” ชุมชนชาวปกาเกอะญอ ที่ฝังตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาของจังหวัดแม่ฮ่องสอน นับเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่น่าจับตามอง เพราะดำเนินการด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนมายาวนานร่วม 20 ปี อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ และพัฒนาการที่น่าสนใจ กลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านห้วยตองก๊อ เกิดขึ้นโดยสืบเนื่องมาจากโครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน (TG) ที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่บ้านห้วยตองก๊อ ส่งเสริมและให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องการปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างกาแฟ เกษตรหมุนเวียน การเลี้ยงสัตว์ที่สามารถสร้างรายได้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ แก้ปัญหายาเสพติด และสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน ภายหลังการสิ้นสุดของโครงการ ทางชุมชนได้ต่อยอดการพัฒนาดังกล่าว โดยก่อตั้ง “การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านห้วยตองก๊อ” ขึ้นในปี 2542 เป็นการพัฒนาชุมชนโดยใช้การท่องเที่ยวมาช่วย เพื่อเผยแพร่วิถีชีวิต ถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวปกาเกอะญอ สร้างรายได้เสริมให้กับคนในชุมชน และทำให้การพัฒนาที่ได้ดำเนินมาเป็นไปอย่างยั่งยืน บ้านห้วยตองก๊อตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ การเดินทางค่อนข้างลำบาก ต้องลัดเลาะไปตามเทือกเขา ผ่านเส้นทางที่ทุรกันดาร ดังนั้น การเข้ามาท่องเที่ยวที่บ้านห้วยตองก๊อ

Read More

Wellness Tourism ยุทธศาสตร์ใหม่การท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวยังคงมีบทบาทสำคัญและเป็นหนึ่งฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชนต่างพัฒนาโปรดักส์ใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อสร้างจุดขาย เสริมความแข็งแกร่ง และตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว ในช่วงที่ผ่านมากระแสการดูแลรักษาสุขภาพของผู้คนในสังคมยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง จนพัฒนากลายมาเป็นพฤติกรรมและเกิดกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสินค้าและบริการต่างๆ ที่ต้องปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และนั่นย่อมรวมถึงธุรกิจการท่องเที่ยวด้วยเช่นกันที่ต่างต้องปรับตัวและสร้างจุดขายใหม่ๆ เพื่อรองรับกับกระแสดังกล่าว จนนำไปสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่อย่าง “Wellness Tourism” เทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง และมีอัตราการเติบโตที่น่าจับตามอง Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อสร้างความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ มีการผนวกกิจกรรมด้านสุขภาพเข้ามารวมอยู่ในการท่องเที่ยวนั้นด้วย เช่น โยคะ สปา อาหารเพื่อสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ เป็นต้น กระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกจะถดถอย แต่ธุรกิจนี้กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2560 ตลาด wellness tourism ทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 124 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่า GDP ประเทศไทย 9,000 เท่า มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10.6% ซึ่งโตกว่าภาพรวมการท่องเที่ยวโลกถึง 2 เท่า และยังมีแนวโน้มที่จะโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทยนับเป็นอีกหนึ่งตลาดที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพราะมีความได้เปรียบด้วยต้นทุนที่ดีทั้งในแง่ของการบริการด้านสุขภาพ

Read More

งดค่าวีซ่า-กระตุ้นเมืองรอง ทางรอดธุรกิจท่องเที่ยวไทย?

ความพยายามของกลไกภาครัฐที่จะกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งผูกพันหนักหน่วงอยู่กับภาคอุตสาหกรรมการส่งออกและธุรกิจการท่องเที่ยวดูเหมือนจะเข้าสู่เส้นทางที่ตีบตันลงมากขึ้น ทั้งจากผลของสภาพเศรษฐกิจระดับโลก ที่กำลังเผชิญกับการคุกคามจากสงครามการค้ารอบใหม่ ที่นำไปสู่การกีดกันทางการค้า และภาวะชะลอตัวอย่างกว้างขวาง ขณะที่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวต้องเผชิญกับความไม่มั่นใจของนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งนับเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เคยเป็นปัจจัยหนุนนำให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญของผู้ประกอบการ ซึ่งแม้ในห้วงปัจจุบันจะนับเป็นฤดูการท่องเที่ยวแล้ว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวในภาพรวมก็ยังไม่ได้กระเตื้องขึ้นมากนัก ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจประการหนึ่งอยู่ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวและยอดจองห้องพักในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าไม่มีการจองการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนมากเหมือนเช่นที่ผ่านมาในอดีต ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ซึ่งเคยพลุกพล่านและหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน ตกอยู่ในภาวะซบเซา และสร้างความหวั่นวิตกให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงใหม่อย่างมาก สถานการณ์การท่องเที่ยวของเชียงใหม่ด้วยการประเมินจากยอดการจองทัวร์ การใช้บริการรถบัสโดยสาร ปริมาณการจองห้องพัก นับตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง หรือหายไปในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายนปริมาณการจองทัวร์ของนักท่องเที่ยวชาวจีนเพื่อเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ก็ดำเนินไปอย่างเบาบาง ก่อนหน้านี้เชียงใหม่นับเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอีกแห่งของนักท่องเที่ยวจีน โดยในช่วงปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลเข้าสู่เชียงใหม่มากถึง 2 ล้านคน ซึ่งสามารถสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งในมิติของผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม กิจการขนส่ง และการให้บริการทัวร์ แต่ด้วยสถานการณ์ความไม่เชื่อมั่นในปัจจุบัน ดูเหมือนลมหายใจทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการเหล่านี้กำลังดำเนินไปโดยความรวยริน ภาวะลดน้อยถอยลงของนักท่องเที่ยวจีนเข้าสู่ประเทศไทย เป็นกรณีที่มีผลสืบเนื่องมาตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดเหตุเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในความปลอดภัยอย่างหนักหน่วง ในขณะที่คำชี้แจงจากภาครัฐจนถึงขณะปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนทั้งในมิติของสาเหตุและในกรณีของผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์สลดในครั้งนั้น ส่วนเงินชดเชยที่รัฐจัดสรรให้กับเหยื่อผู้ประสบภัยก็เป็นเพียงมาตรการเยียวยาที่ไม่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นในเรื่องสวัสดิภาพและมาตรฐานความปลอดภัยในธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยให้เป็นที่น่าพึงพอใจสำหรับผู้ประกอบการ ตัวแทน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้เลย ยังไม่รวมภาพลักษณ์ด้านลบที่มีผลต่อการท่องเที่ยวไทยโดยตรง ทั้งกรณีการทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวโดยเจ้าหน้าที่ของไทยที่ท่าอากาศยาน หรือการฉวยโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยวโดยผู้ประกอบการ และข่าวเชิงลบอื่นๆ ที่แพร่สะพัดออกไปยังสื่อนานาชาติอย่างกว้างขวาง ที่ทำให้ความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยตกต่ำไปโดยปริยาย ภายใต้กลไกรัฐที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เป็นระยะ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมานโยบายว่าด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ถูกนำเสนอออกมาอย่างต่อเนื่อง ในด้านหนึ่งด้วยหวังว่า ความเป็นไปของเมืองรองเหล่านี้จะช่วยหนุนเสริมให้ระบบเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นพัฒนาและฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกันนโยบายส่งเสริมเมืองรองยังดำเนินไปท่ามกลางความเชื่อและคาดหวังว่าอาจเป็นส่วนเติมเต็มให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวภายในประเทศ และเป็นเหตุให้รัฐบาล คสช. เห็นชอบที่จะกำหนดให้บุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเมืองรอง 55

Read More

ปัจจัยทัวร์จีน ดัชนีชี้วัด GDP ไทย

ภาพนักท่องเที่ยวจีนที่เดินกันขวักไขว่ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย เช่น พระบรมมหาราชวัง ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่ และภูเก็ต ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกเป็นจุดหมายปลายทาง กลายเป็นภาพจำไปแล้วสำหรับคนไทย เมื่อช่วงเวลาหนึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เมืองไทยได้รับความสนใจและกลายเป็น destination ของนักท่องเที่ยวจีน อาจจะมาจากภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand ที่ฉายในไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2556 นับเป็นการจุดพลุการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ ประกอบ ทั้งค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวไทยที่ราคาไม่แพง ภาคการบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือที่นักท่องเที่ยวจีนเคยให้เหตุผลน่าฟังว่า “คนไทยใจดี” ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่นักท่องเที่ยวจีนค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นนั้น ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่านอกจากจะเป็นการกระพือชื่อเสียงการเป็นเมืองท่องเที่ยวและสร้างความนิยมให้กับเมืองไทยแล้ว สิ่งที่ตามมาคือเรื่องรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของผู้ประกอบการท่องเที่ยว และแน่นอนว่านั่นคือรายได้ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน หากดูจากสถิติเมื่อปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยมีจำนวน 9,805,753 คน และสร้างรายได้มากถึง 524,451.03 ล้านบาท นับว่าทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นอันดับหนึ่งของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด และนั่นทำให้ในปี 2561 ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยสูงถึง 10.5 ล้านคน กระทั่งโศกนาฏกรรมเรือฟินิกซ์ล่มที่จังหวัดภูเก็ต กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ลดทอนความเชื่อมั่นในสวัสดิภาพของนักท่องเที่ยวที่มีต่อเมืองไทยลง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจึงค่อยๆ ลดจำนวนลง นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเปลี่ยนเส้นทางไปยังประเทศอื่นในเอเชีย เช่น เรื่องโรคไข้เลือดออกระบาด พฤติกรรมไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน

Read More

การท่องเที่ยวทรุด ฉุดเศรษฐกิจไทยร่วง?

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าฟันเฟืองที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้นั้นมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง เช่น การส่งออก และการท่องเที่ยว และหลายครั้งที่สถานการณ์ทำให้เราประจักษ์ชัดว่าการท่องเที่ยวของไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อรากฐานทางเศรษฐกิจในทุกระดับ ทุกๆ ภาครัฐและเอกชนของไทยจะตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวว่าในแต่ละปีจะต้องมีรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวเท่าไหร่ รวมไปถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยและบทสรุปทั้งเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ในแต่ละปีที่ออกมามักสูงกว่าเป้าหมายที่ได้คาดการณ์เอาไว้ ทว่า ในปีนี้โดยเฉพาะห้วงเวลานี้กลับแตกต่างออกไปทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เริ่มปรับตัวลดจำนวนลงแม้จะยังไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก แต่กลับสร้างความตระหนกให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ธุรกิจรถทัวร์ เรือนำเที่ยว หรือธุรกิจอื่นที่ล้วนแต่อยู่ในห่วงโซ่ย่อมได้รับผลกระทบแห่งระลอกคลื่นนี้เช่นกัน เมื่อกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าว รายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวเดือนกันยายน 2561 ว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 2,655,562 คน โดยจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกมากที่สุด 1,948,414 คน รองลงมา ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป เอเชียใต้ อเมริกา ตะวันออกกลาง โอเชียเนีย และแอฟริกา ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีอัตราการขยายตัว 2.13 เปอร์เซ็นต์ กระนั้นอัตราการขยายตัวดังกล่าว เป็นการขยายตัวในทิศทางที่ลดลง 0.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมีทั้งเรื่องของฤดูกาล ที่เป็นช่วงฤดูฝน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่หลายคนกำลังจับตาและให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือ ความปลอดภัยต่อสวัสดิภาพของนักท่องเที่ยว โศกนาฏกรรมเรือฟินิกซ์ล่มที่จังหวัดภูเก็ต ดูจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้นมีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตมากถึง 47 ราย

Read More

เคทีซีเฟ้นหาสมาชิกบัตรนักเดินทาง 3 ทีม ร่วมกิจกรรม KTC Real Team ครั้งที่ 47: ซินจ่าวเวียดนาม สัมผัสเสน่ห์ 3 เมืองงาม

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดรับสมัครสมาชิกบัตรฯ นักรีวิว 3 ทีม ที่มีใจรักในการท่องเที่ยวเดินทาง ร่วมกิจกรรม KTC Real Team ครั้งที่ 47: ซินจ่าวเวียดนาม สัมผัสเสน่ห์ 3 เมืองงาม ฮานอย โฮจิมินห์และดานัง โดยผู้ที่ได้รับคัดเลือก 3 ทีม (มีผู้ติดตามได้ทีมละ 1 ท่าน) แยกเดินทางไปทีมละเมือง ทุกทีมสามารถท่องเที่ยวแบบอิสระ 3 วัน 2 คืน โดยสายการบินเวียดเจ็ท แอร์ และเข้าพักที่โรงแรมสุดหรูในเครือ Accor ซึ่งรวมของรางวัลทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 100,000 บาท คือ ทีมที่ 1 โฮจิมินห์ ทีมที่ 2 ฮานอย และทีมที่

Read More