Home > ASEAN

ข้อตกลง RCEP โอกาสใหม่ของไทย?

การลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) เมื่อช่วงสัปดาห์ผ่านมา กลายเป็นความสำเร็จและความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ ASEAN ในการแสวงหาความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนครอบคลุมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิก ภายใต้กรอบ ASEAN+3 และ ASEAN+6 หลังจากที่แต่ละฝ่ายดำเนินความพยายามผลักดันมานานเกือบ 1 ทศวรรษ กลุ่มประเทศที่เข้าร่วมในความตกลง RCEP นอกจากจะประกอบด้วยประเทศในกลุ่ม ASEAN รวม 10 ประเทศแล้ว ยังประกอบด้วย จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมเป็น 15 ประเทศ ซึ่งทำให้ RCEP เป็นเขตการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย RCEP มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึง 27,530 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น ร้อยละ 27.7 ของเศรษฐกิจโลก และเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากมีประชากรรวมกว่า 3,549 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ

Read More

อาเซียนกับความหวัง RCEP จุดเปลี่ยนผ่านยุทธศาสตร์มหาอำนาจ

แม้ว่าการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 (ASEAN Summit 35th) ซึ่งประเทศไทยรับหน้าที่เป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมจะปิดฉากลงไปแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความพยายามของรัฐไทยที่โหมประโคมและมุ่งเน้นสื่อสารความคืบหน้าของการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค The Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP ในฐานะที่เป็นประหนึ่งดัชนีบ่งชี้ถึงความสำเร็จในการประชุมครั้งนี้อย่างขะมักเขม้น การมุ่งเน้นกับความเป็นไปของ RCEP ของไทยดูจะทำให้ประเด็นแวดล้อมอื่นๆ ของอาเซียนในการประชุมครั้งสำคัญนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ กรณีว่าด้วยผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา ที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจและนำเสนออย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่ประเด็นความร่วมมือด้านอื่นๆ ถูกกดทับไปจากการรับรู้ของสังคมไทยโดยสิ้นเชิง ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจต่อเนื่องจากกรณีดังกล่าวอีกด้านหนึ่งก็คือ ความพยายามที่จะผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 7 ปี เพื่อผนึก 10 ประเทศอาเซียนและพันธมิตร 6 ประเทศที่มีทั้ง จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า มิได้ดำเนินอยู่บนเส้นทางที่ราบเรียบไร้อุปสรรค ท่าทีของอินเดีย หนึ่งในสมาชิกของ RCEP ที่ขอเจรจาปรับรายการภาษีบางสินค้าใหม่ในช่วงสรุปผลการเจรจาใน 20 ประเด็นให้ได้ตามกำหนดเวลาเป้าหมาย ทำให้เหลือสมาชิก RCEP เพียง 15

Read More

เน็ตฟลิกซ์ ลงนามในข้อตกลงกับสภาเศรษฐกิจโลก มุ่งพัฒนาทักษะดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์ในอาเซียน

เน็ตฟลิกซ์ ลงนามในข้อตกลงกับสภาเศรษฐกิจโลก มุ่งพัฒนาทักษะดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์ในอาเซียน ข้อตกลงในการร่วมพัฒนาทักษะต่างๆ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งความสร้างสรรค์ ความปลอดภัยในโลกออนไลน์ และแนวทางบริหารจัดการเพื่อความคล่องตัว เน็ตฟลิกซ์ ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกับคณะทำงานด้านดิจิทัล อาเซียนของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาขีดความสามารถและทักษะด้านดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์ และเตรียมพร้อมสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ข้อตกลงดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "ASEAN Digital Skills Vision 2020" โดยสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและกลุ่มบริษัทเอกชน ภายใต้จุดมุ่งหมายเพื่อฝึกฝน พัฒนาทักษะดิจิทัลแก่แรงงาน 20 ล้านคนในอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2563 โครงการดังกล่าวนับเป็นภารกิจที่เร่งด่วน เนื่องจากการสำรวจความคิดเห็นของเยาวชนในอาเซียนกว่า 56,000 คนโดยสภาเศรษฐกิจโลกพบว่า เยาวชน 52 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าพวกเขาต้องหมั่นพัฒนาทักษะด้านต่างๆ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในตลาดแรงงาน โดยเยาวชนผู้ตอบแบบสอบถาม ไดัจัดอันดับให้ความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพเชิงนวัตกรรม เป็นทักษะที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ต้องมีในอนาคต นายยู-ชวง เคว๊ก กรรมการผูัจัดการประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ของเน็ตฟลิกซ์ กล่าวว่า “ในขณะที่ธุรกิจของเน็ตฟลิกซ์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราได้ร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพันธมิตรร่วมอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์

Read More

ทุนนอกไหลเข้าอาเซียน หวังหลบภัยสงครามการค้า

ความเป็นไปของอาเซียนโดยเฉพาะกรณีว่าด้วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ดูจะเป็นประหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียน เพราะไม่เพียงแต่จะมีส่วนส่งเสริมการขยายฐานการลงทุนแล้ว กรณีดังกล่าวยังเชื่อว่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานภายในภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมาพัฒนาการและแนวโน้มด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งขาเข้าและขาออกทั้งหมดภายในอาเซียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอาเซียน (ASEAN FDI) มีลักษณะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น นอกจากจะเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการลงทุนภายในอาเซียนเอง ที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าธุรกรรมด้านการซื้อขายและควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition: M&A) แล้ว การพัฒนาพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคและสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนในระดับภูมิภาคก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเปิดโอกาสการลงทุนที่มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากแหล่งใหม่ (Emerging Sources) ที่มีจีนเป็นผู้เร่งปฏิกริยา การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ไหลรินเข้าสู่ประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลของการอาศัยหลักการผลิตที่ได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ อัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า ข้อได้เปรียบจากขนาดของการผลิต (economy of scale) และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในการผลิตสินค้า ส่งผลทำให้จีนเปลี่ยนจากประเทศที่รับจ้างผลิต มาเป็นผู้ส่งออกสินค้า และแปลงสถานะมาเป็นคู่ค้าที่ได้เปรียบประเทศอื่นๆ ในที่สุด สัดส่วนของการค้าและการลงทุนในประเทศจีนที่มากล้น จนมีมูลค่าและสัดส่วนของการลงทุนที่มากเกินกว่าจะขยายได้ในประเทศ ทำให้ในปัจจุบันไม่เพียงแต่จีนจะกลายมาเป็นผู้ส่งออกสินค้าให้กับโลกแล้ว ยังรวมไปถึงการส่งเงินทุนออกไปภายนอกประเทศ (Outward Foreign Direct

Read More

เสี่ยเจริญดัน BJC บุกจีน ปักหมุดบิ๊กซี ยึดอาเซียน

บิ๊กซี ภายใต้การบริหารของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ได้เวลาเปิดฉากรุกตลาดอาเซียนอย่างเป็นทางการตามแผนขยายอาณาจักรค้าปลีกของเจริญ สิริวัฒนภักดี หลังจากใช้เวลากว่า 2 ปี ปรับกระบวนทัพต่างๆ โดยเตรียมปักหมุดห้างบิ๊กซีไฮเปอร์มาร์เก็ต 3 สาขาแรก ในประเทศมาเลเซีย กัมพูชา และลาว เพื่อสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางและเชื่อมต่อจาก “อาเซียน” สู่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง “จีน” ด้วย เบื้องต้น ทั้ง 3 สาขาจะเปิดตัวภายในปี 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปี 2563 พร้อมๆ กับแผนขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกแบรนด์ต่างๆ ในเครือ ซึ่งบีเจซีลุยปักหมุดไว้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเวียดนาม บีเจซีผุดห้างค้าปลีกค้าส่ง เอ็มเอ็ม เมกะมาร์เก็ต (MM Mega Market) มากถึง 19 สาขา และร้านสะดวกซื้อบีสมาร์ท (B’s Mart) อีก 144

Read More

หมดเวลาของถ่านหิน? อาเซียนเน้นพลังงานทดแทน

การแถลงผลประกอบการของบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากจะมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวเลขผลประกอบการที่มีกำไรในระดับหลายพันล้านบาทแล้ว ในอีกด้านหนึ่งยังปรากฏภาพของการกำหนดทิศทางของธุรกิจในอนาคตด้วยการลดสัดส่วนพลังงานถ่านหิน ซึ่งสะท้อนภาพภูมิทัศน์ที่ปรับเปลี่ยนไปของการใช้พลังงานในภูมิภาคอาเซียน ที่กำลังปรับเข้าหาพลังงานทดแทนมากขึ้น กรณีดังกล่าวสอดรับกับความเคลื่อนไหวของบี. กริม พาวเวอร์ ที่ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB: Asian Development Bank) ประกาศความร่วมมือในการขยายธุรกิจพลังงานทดแทนในอาเซียน ผ่านการลงนามในสัญญาสนับสนุนเงินกู้ มูลค่า 235 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.3 พันล้านบาท นัยความหมายของการลงนามสนับสนุนเงินกู้ระหว่างบี. กริม พาวเวอร์กับเอดีบี ครั้งนี้ นอกจากจะนับเป็นการสนับสนุนวงเงินกู้ที่มีมูลค่าสูงสุดที่เอดีบีเคยให้การสนับสนุนกับบริษัทในประเทศไทยแล้ว ในอีกมิติหนึ่งยังสะท้อนแนวทางการพัฒนาด้านพลังงานที่เอดีบีพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นและสนองตอบต่อความต้องการใช้พลังงานของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ซึ่งพลังงานได้รับการประเมินในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พลังงานทางเลือกที่บี. กริมจะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อรุกเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ภายใต้สัญญาสนับสนุนเงินกู้จากเอดีบี ประกอบด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล พลังงานจากขยะ พลังงานก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการกักเก็บพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง “เงินทุนของเอดีบีจะสนับสนุนการดำเนินงานของบี.กริม เพาเวอร์ ในการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าตามพื้นที่ต่างๆ ในรูปแบบ Distributed Power Generation และโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

Read More

สมรภูมิอาเซียน ความท้าทายบนฟองเบียร์

ข่าวการเข้าซื้อหุ้นของโรงงานเบียร์ในเวียดนามด้วยเงินลงทุนขนาดมหึมากว่า 1.6 แสนล้านบาทโดยกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ นอกจากจะเป็นการตอกย้ำความมุ่งหมายตามยุทธศาสตร์แห่งวิสัยทัศน์ 2020 ของไทยเบฟเวอเรจแล้ว ในอีกด้านหนึ่งยังสะท้อนข้อเท็จจริงของตลาดเบียร์ในอาเซียนในฐานะที่เป็นสมรภูมิทางธุรกิจที่มีความหอมหวานและเย้ายวนผู้ประกอบการแต่ละรายให้เข้ามาร่วมช่วงชิงแบ่งปันผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน ความพยายามของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มุ่งหมายจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมตลาดประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนในฐานะที่เป็นประหนึ่งสนามหลังบ้าน ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้แรงเสียดทาน หากแต่ดำเนินควบคู่ไปพร้อมกับการรุกเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสถานะไม่แตกต่างมหาอำนาจที่พรั่งพร้อมด้วยเงินทุนและความหลากหลายของแบรนด์สินค้าที่เป็นสรรพกำลังในการดูดซับอุปสงค์ของการบริโภคในตลาดแห่งนี้ การเติบโตขึ้นด้วยอัตราเร่งของการบริโภคเบียร์ในอาเซียน ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะภูมิอากาศที่ร้อนชื้นหรือรสชาติอาหารที่เผ็ดร้อนจนต้องดื่มเบียร์เย็นๆ ระงับอาการหรือดับกระหาย หากแต่เป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่า อาเซียน ยังอุดมด้วยประชากรในวัยหนุ่มสาว และความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปรับเปลี่ยนไปจากการเป็นเพียงเครื่องดื่ม มาสู่การเป็น สัญญะ ทางสังคมอีกด้วย นอกจากนี้ความจำเริญเติบโตของอาเซียนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ภูมิภาคแห่งนี้ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในธุรกิจหลากหลาย ในฐานะที่เป็นทั้งแหล่งลงทุนเพื่อการผลิตและเป็นตลาดที่มีศักยภาพและการเติบโตในอัตราเร่งทดแทนความอิ่มตัวที่เกิดขึ้นในระดับสากล ตัวเลขจากการสำรวจตลาดเบียร์ใน 6 ประเทศอาเซียนที่ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ในช่วงปี 2015 ที่ผ่านมา พบว่าตลาดที่มีการบริโภคเบียร์มากถึง 7.66 ล้านกิโลลิตรแห่งนี้ ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดสามารถครอบครองตลาดระดับภูมิภาคนี้ได้อย่างมั่นคงชัดเจน ส่วนหนึ่งเนื่องเพราะผู้ประกอบการแต่ละรายต่างมีความโดดเด่นจำกัดอยู่เฉพาะในเขตพื้นที่ของประเทศตัวเองเป็นสำคัญ ดังกรณีที่เกิดขึ้นในบริบทของ San Miguel ซึ่งแม้จะครองส่วนแบ่งในระดับร้อยละ 20.5 แต่ตัวเลขดังกล่าวก็เป็นผลมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า San Miguel มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึงร้อยละ 91-95 ในฟิลิปปินส์โดยลำพัง เช่นเดียวกับกรณีของผู้ประกอบการสัญชาติไทย ทั้งบุญรอด บริวเวอรี่ ที่ครองส่วนแบ่งในระดับ 14.5

Read More

50 ปี ASEAN การเดินทางข้ามฝั่งฝัน

นับถอยหลังไปอีกไม่กี่ชั่วโมงในวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ต้องถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) ที่จะครบรอบวาระการก่อตั้งเป็นปีที่ 50 ซึ่งหากพิจารณาองค์กรระดับภูมิภาคแห่งนี้ในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีชีวิต ก็ต้องถือว่าองค์กรแห่งนี้กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบสูงมากขึ้นตามวัย ภายใต้คำขวัญ “One Vision One Identity One Community” ที่พยายามรักษาจุดร่วมสงวนจุดต่าง เพื่อสร้างประชาคมที่มีความร่วมมือทั้งในมิติการเมืองความมั่นคง (Political-Security Community) ความร่วมมือทางด้านสังคม-วัฒนธรรม (Socio-Cultural Community) และประชาคมเศรษฐกิจ (Economic Community) ความเป็นไปขององค์กรภูมิภาคแห่งนี้ก็ดูจะก้าวหน้าไปจากวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปฏิญญากรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นปฐมบทของการเริ่มต้นอาเซียนไปมากพอสมควร หากแต่ด้วยสภาพข้อเท็จจริงของสังคม การเมือง เศรษฐกิจในระดับนานาชาติในปัจจุบัน การดำรงอยู่ขององค์กรระดับภูมิภาคแห่งนี้ดูจะเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่พร้อมจะสั่นคลอน ประชาคมอาเซียน ที่มีประชากรรวมกว่า 630 ล้านคน และมี GDP รวมกันสูงกว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

Read More

50 ปี ASEAN กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว

ปี 2560 ดูจะเป็นปีที่มีความสำคัญไม่น้อยสำหรับสมาคมประชาชาติอาเซียน (ASEAN) เพราะนอกจากจะเป็นปีแห่งการครบรอบการสถาปนา ASEAN ครบ 50 ปีแล้ว การดำรงอยู่ของอาเซียนในบริบทของเศรษฐกิจการเมืองสังคมโลกในปัจจุบัน ยังอยู่ในภาวะที่ท้าทายจังหวะก้าวในอนาคตไม่น้อยเลย ภายใต้แนวความคิดการรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาค หรือ Regional Integration ที่กำลังถูกท้าทายจากกรณีการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ในนาม BREXIT ที่ส่งแรงกระเทือนไปสู่การรวมกลุ่มความร่วมมือในภูมิภาคอื่นๆ ASEAN ที่พยายามชู “ความหลากหลายที่หลอมรวม” ก็อยู่ในสภาพที่ถูกตั้งคำถามให้ได้พิจารณาเช่นกัน แม้ ASEAN จะเกิดมีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากความแตกต่างในยุคสมัยแห่งสงครามเย็น หากแต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ASEAN ได้ปรับและขยับขึ้นมาเป็นแกนกลางของภูมิภาคในการดึงชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน หรือผู้แทนระดับสูงของ EU เข้ามาร่วมเป็นคู่สนทนา และทวีบทบาทสำคัญในการพัฒนาให้เป็นประชาคมที่พร้อมจะตอบรับกับบริบททางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างมีนัยสำคัญ ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจมากประการหนึ่งของ ASEAN ก็คือภายใต้ฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ของประชาคมอาเซียน ที่มีประชากร 640 ล้านคนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่กำลังขยับไปสู่ระบบอุตสาหกรรม ทำให้ทุนขยายและกระจายไปอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากแต่ในยุคสมัยแห่งโลกดิจิทัลหรือที่ยุคแห่งการผลิตแบบ

Read More

ฐาปน สิริวัฒนภักดี ภารกิจเร่งด่วน ยึด “อาเซียน”

  ฐาปน สิริวัฒนภักดี ตั้งเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาบริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2551 และเป็นเป้าหมายสูงสุดเดียวกันกับเจริญ สิริวัฒนภักดี ตั้งแต่วันแรกที่ประกาศตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจฯ รวมกิจการผลิตเบียร์และสุราเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ เมื่อปี 2546  ต้องถือว่า “ไทยเบฟ” ยุคแรก ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ปรับโครงสร้างองค์กรและโครงสร้างธุรกิจ เพื่อปลุกปั้นภาพลักษณ์ใหม่ พลิกโฉมหน้าจากยักษ์ใหญ่ผูกขาดตลาดเหล้า ซึ่งเป็นธุรกิจสีเทาที่อิงอยู่กับอิทธิพลและอำนาจการเมืองตั้งแต่อดีตยุคสุราแม่โขง ล้างภาพตั้งแต่ครั้งเจอกลุ่มม็อบต่อต้านการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างหนัก เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากสไตล์เถ้าแก่รุ่นเก่าเป็น “ผู้บริหารมืออาชีพ” เพื่อสร้างความโปร่งใสในการจำหน่ายสินค้าตามระบบการค้าเสรี ขณะเดียวกัน เร่งขยายธุรกิจเครื่องดื่มอย่างครบวงจรมากขึ้น ทั้งธุรกิจสุรา ธุรกิจเบียร์ ธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ และธุรกิจอาหาร แต่ยังมีธุรกิจเหล้าเบียร์เป็นตัวสร้างรายได้หลักของบริษัท  ปลายปี 2557 ฐาปน สิริวัฒนภักดี ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ประกาศยุทธศาสตร์ Vision 2020 เพื่อเป็นโรดแมพดำเนินธุรกิจช่วง 6 ปี ตั้งแต่ปี 2558-2563

Read More