Home > Life (Page 25)

ไม่เติมน้ำตาลในอาหาร ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรแทน

Column: Well – Being ต้องทำความเข้าใจกันใหม่อย่างหนึ่ง คือ น้ำตาลไม่ใช่หนทางเดียวในการช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร สมุนไพรและเครื่องเทศล้วนช่วยเสริมโลกของรสชาติและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญทั้งสมุนไพรและเครื่องเทศมีราคาถูกและง่ายต่อการใช้งาน หนังสือ Prevention Guide ยืนยันว่า เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น คุณสามารถฝึกต่อมรับรสให้เลิกอยากอาหารที่เติมน้ำตาลปริมาณมากได้ “เมื่ออาหารเริ่มขาดรสชาติและน่าเบื่อ คุณมีแนวโน้มต้องมองหากระปุกน้ำตาล” เว็นดี้ บราซิเลียน นักกำหนดอาหารและกรรมการที่ปรึกษาของ Prevention อธิบาย หนึ่งในวิธีง่ายๆ ในการหลีกเลี่ยงชะตากรรมดังกล่าว คือใช้สมุนไพรและเครื่องเทศแทนการใช้สารให้ความหวานหรือน้ำตาล เพื่อทำให้อาหารของคุณมีรสชาติดีขึ้น ต่อไปนี้เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศยอดนิยมที่นำมาใช้ปรุงอาหาร อบเชย ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเทศยอดนิยมและปลอดภัยสูงสุดที่ใช้แทนน้ำตาล ผลการศึกษาระบุว่า อบเชยช่วยระงับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อคุณบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตปริมาณสูง ข้อมูลนี้ถือเป็นข่าวดีเพราะเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนอินซูลินด้วย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เมื่อนำไปปรุงอาหารและได้รับความร้อน อบเชยทั้งแท่งจะค่อย ๆ ปล่อยรสชาติและน้ำหอมในตัวออกมา ขณะที่อบเชยป่นทำให้อาหารมีกลิ่นหอมหวานขึ้นทันที สะระแหน่ ถ้าคุณเคยชินกับนิสัยต้องบริโภคของหวานหลังอาหาร สะระแหน่เป็นตัวทดแทนของหวานชั้นเยี่ยม สมุนไพรตัวนี้ยังช่วยย่อยอาหารและลดความเสี่ยงจากภาวะท้องอืดหลังอาหารสะระแหน่มีมากกว่า 600 สายพันธุ์ แต่ที่นำมาใช้บ่อยครั้งที่สุดในการปรุงอาหารคือสเปียร์มินต์และเปปเปอร์มินต์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้รู้สึกสดชื่นเพิ่มเติมจากอาหารจานเผ็ดและหวาน กระวาน เป็นสมุนไพรตระกูลขิงที่ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และถูกเชื่อมโยงเข้ากับคุณสมบัติการลดความดันโลหิตอย่างมีนัยสำคัญ กระวานเขียวนิยมนำมาปรุงอาหารมากที่สุด ฝักและเมล็ดกระวานใช้บริโภคได้ สามารถใช้ได้ทั้งในรูปที่เป็นฝักและชนิดป่น ยี่หร่า เครื่องเทศที่ให้รสชาติหอม เผ็ดร้อน และมีกลิ่นหอมของพืชตระกูลส้มนี้ สามารถกระตุ้นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการย่อยอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำไปใช้ให้นำไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน จากนั้นใช้ครกตำ

Read More

ถั่วลันเตาทดแทนเวย์โปรตีนได้ & ฝึกหายใจช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรด

Column: Well – Being ถั่วลันเตาทดแทนเวย์โปรตีนได้ ข่าวดีในวงการอาหารตอนนี้ คือ ทุกคนมีสิทธิได้รับประโยชน์อันเอกอุจากถั่วลันเตา นิตยสาร Shape กล่าวถึงผลการศึกษาในฝรั่งเศสว่า หลังการออกกำลังกายแบบ resistance training แล้ว ผู้ที่บริโภคโปรตีนจากถั่วลันเตายอมรับว่า รู้สึกได้รับความแข็งแรงมากพอๆ กับผู้ที่ดื่มเวย์โปรตีนหลังออกกำลังกายเหมือนกัน ดร.นิโคลัส บาบอลท์ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งมหาวิทยาลัย Burgundy–Franche–Comte กล่าวว่า “โปรตีนถั่วลันเตาก็เหมือนเวย์โปรตีนที่เป็นแหล่งโครงสร้างของกรดอะมิโนที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และโดยเหตุที่บางคนอาจมีปัญหาการย่อยเวย์โปรตีน โปรตีนถั่วลันเตาจึงเป็นทางเลือกที่วิเศษสุด” วารสาร Nutrient ยังรายงานว่า ถั่วลันเตาช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง อาหารมื้อที่มีถั่วลันเตาและถั่วปากอ้า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกอิ่มทนเหมือนได้กินเนื้อและไข่ที่มีโปรตีนและเส้นใยในปริมาณเท่ากัน ปัจจุบันวงการจึงได้เห็นผลิตภัณฑ์โปรตีนถั่วลันเตารูปโฉมใหม่ที่หลากหลายมากมายตั้งแต่น้ำปั่นไปจนถึงอาหารว่างให้ลิ้มลองกัน ฝึกหายใจช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรด นิตยสาร Shape รายงานว่า ปัจจุบันวงการเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกำลังคลั่งไคล้การฝึกกำหนดลมหายใจเข้าและออกกันยกใหญ่ ผู้คนพากันหลั่งไหลสมัครเข้าชั้นเรียนการฝึกกำหนดลมหายใจ ผู้ที่นิยมการฝึกแนวทางนี้ยืนยันว่า การฝึกหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอช่วยพวกเขาได้เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ และสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ตนเองได้ “การกำหนดลมหายใจทำให้ความคิดนิ่ง ทำให้คุณเชื่อมโยงกับร่างกายและความรู้สึกของคุณได้” ซารา ซิลเวอร์สไตน์ ครูฝึกสอนการกำหนดลมหายใจในบรุคลิน, รัฐนิวยอร์ก กล่าว และถ้าคุณไม่สะดวกไปเข้าชั้นเรียน คุณสามารถทำที่บ้านเองก็ได้ ฝึกหายใจสามจังหวะ ลดภาวะเลือดเป็นกรด รูปแบบการหายใจมี 3 ประเภทด้วยกัน แต่ที่เป็นพื้นฐานคือ การหายใจสามจังหวะ ซึ่งฝึกได้ด้วยการสูดลมหายใจผ่านทางปากให้ลึกเข้าสู่ช่องท้อง และให้เข้าสู่ช่องอกอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพ่นลมหายใจออก

Read More

น้ำในรูปเจล แหล่งพลังงานใหม่ของคุณ

Column: Well – Being วงการวิทยาศาสตร์ระบุข้อมูลล่าสุดว่า น้ำที่พบในพืชถือเป็นน้ำชั้นยอด และเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยมของคุณ นิตยสาร Shape รายงานว่า สิ่งจำเป็นที่ร่างกายของคุณต้องการอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น กลับกลายเป็นน้ำในรูปเจล (gel water) ซึ่งเป็นสารที่เป็นที่รู้จักกันน้อยมาก และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เองก็เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำในรูปเจลกันอย่างจริงจัง น้ำในรูปเจลนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า น้ำที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก (structured water) เป็นของเหลวที่พบในและรอบๆ พืชและเซลล์ของสัตว์ ซึ่งรวมถึงเซลล์ในร่างกายของเราด้วย แพทย์หญิงดานา โคเฮน ผู้เขียนร่วมหนังสือ Quench ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับน้ำในรูปเจลอธิบายต่อไปว่า “เพราะน้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ในเซลล์ร่างกายของเรา ล้วนอยู่ในรูปของเจล และเราเชื่อว่าร่างกายของเราสามารถดูดซึมได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ” นั่นหมายความว่า น้ำในรูปเจลที่เราได้จากพืช เช่น ว่านหางจระเข้ เมลอน ผักใบเขียว และเมล็ดเจีย เป็นหนทางในการทำให้เราได้น้ำ พลังงาน และสุขภาพที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง จริงๆ แล้ว การบริโภคน้ำในรูปเจลเพิ่มขึ้นจากการดื่มน้ำเปล่าในระหว่างการออกกำลังกาย หรือในทุกครั้งที่ร่างกายของคุณรู้สึกกระหายน้ำ อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเติมน้ำแก่ร่างกาย ดร.สเตซี ซิมส์ นักกายภาพบำบัดด้านการออกกำลังกายและนักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการ ประจำมหาวิทยาลัยไวกาโต ประเทศนิวซีแลนด์ และผู้เขียนหนังสือ Roar กล่าวว่า

Read More

สัพเพเหระ

Column: Well – Being เราได้คัดเลือกและรวบรวมสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นสาระความรู้ด้านสุขภาพจากนิตยสาร GoodHealth มานำเสนอดังนี้ ทำไมลิ้นแตกหรือเป็นฝ้าขาว ลิ้นสุขภาพดีจะมีสีชมพู มีความชุ่มชื้น และเต็มไปด้วยปุ่มสีขาวขนาดเล็กที่เรียกว่าปุ่มลิ้นหรือตุ่มรับรส ภาวะน้ำลายแห้งสามารถนำไปสู่อาการลิ้นแห้งและแตกได้ คุณยังอาจเกิดอาการลิ้นเป็นฝ้าขาวหรือดำ เพราะสาเหตุจากการติดเชื้อราก็ได้ ถ้าอาการดังกล่าวยังติดอยู่เป็นเวลานาน มันอาจส่อถึงโรคเบาหวานได้ เพราะน้ำตาลกลูโคสปริมาณสูงในน้ำลาย นำไปสู่การที่ยีสต์ Candida albicans เติบโตเร็วเกินไป นอกจากนี้ ยาปฏิชีวนะยังสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะติดเชื้อราได้ด้วย “ยาปฏิชีวนะเข้าไปฆ่าแบคทีเรียทั้งดีและเลว และเมื่อแบคทีเรียดีถูกฆ่าตายหมด นั่นย่อมทำให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นโทษต่อร่างกายเจริญเติบโตในปากของคุณอย่างรวดเร็ว” ดร.ฟลูเออร์ ครีปเพอร์ ปริทันตทันตแพทย์และสมาชิกคณะกรรมการสุขภาพช่องปากแห่งสมาคมทันตกรรมออสเตรเลียอธิบาย ให้รักษาด้วยยาฆ่าเชื้อราและกินอาหารโพรไบโอติกส์ อยู่กับโรคแพ้ภูมิตัวเองให้ได้ มีรายงานกล่าวว่า ชาวออสเตรเลียประมาณ 1.2 ล้านคนต้องมีชีวิตอยู่กับโรคแพ้ภูมิตัวเอง และประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผู้หญิงเสียด้วย โรคแพ้ภูมิตัวเองเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลงตัวเอง หันมาโจมตีเนื้อเยื่อและเซลล์ที่แข็งแรงและปกติ แทนการทำลายแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แต่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า ทำไมผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงสูงกว่า โรคแพ้ภูมิตัวเองมีมากกว่า 80 ชนิด และผลการศึกษาระบุว่า คนในโลกตะวันตกได้รับผลกระทบต่อโรคนี้มากกว่า ซึ่งสาเหตุก็ยังไม่ชัดเจนอีกเช่นกัน แต่มีการสันนิษฐานว่า ภาวะอ้วน การบริโภครสเค็มเกินไป รวมทั้งอาหารแปรรูป และความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น อาจมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของโรคแพ้ภูมิตัวเองได้ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็น่าจะมีส่วนเช่นกัน “การที่มีผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อมบ่งชี้ว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญด้วย” เวอร์จิเนีย แลดด์

Read More

เดินเท้าเปล่าดีตรงไหน

Column: Well – Being มนุษย์เดินเหยียบย่างบนพื้นผิวโลกมาหลายล้านปีแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ เรากลับมารณรงค์ให้หันกลับมาเดินเท้าเปล่ากันอีก จริงๆ แล้วผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า เมื่อเราเดินด้วยเท้าเปล่าโดยปราศจากการสวมรองเท้า การเคลื่อนไหวของเราจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง คือมีความกลมกลืนหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาพแวดล้อม ซึ่งมักหมายถึงช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ และที่น่าประหลาดคือ สามารถปกป้องเท้าและร่างกายโดยรวมได้ดีขึ้นด้วย นิตยสาร Top Health & Beauty แนะนำให้จินตนาการว่า เท้าของคุณทำหน้าที่เสมือนฐานรากของบ้าน สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ฐานรากนั้นวางตัวอย่างถูกต้อง แล้วจะส่งผลให้โครงสร้างของร่างกายโดยรวมทรงตัวอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง ! โทนี ริดเดิล ผู้เชี่ยวชาญการใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ตั้งข้อสังเกตว่า “ปกติแล้วเท้าของมนุษย์บริเวณส่วนของนิ้วเท้าจะกว้างกว่าและเรียวแคบเข้าตรงบริเวณส้นเท้า แต่มีรองเท้าสมัยใหม่มากมายที่ออกแบบตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า เท้าของคุณต้องถูกยัดเข้าไปในรองเท้าที่เปลี่ยนรูปร่างของเท้า หรือผู้สวมใส่ต้องสวมรองเท้าส้นหนาที่เข้าไปขัดขวางการทำงานของปลายประสาทสัมผัส ส่งผลให้เกิดการเดินที่เป็นธรรมชาติน้อยลงและสามารถก่อให้เกิดปัญหาต่อร่างกายตามมา เช่น เจ็บเอ็นร้อยหวาย กล้ามเนื้อสะโพกหย่อนยาน และแกนกลางลำตัวอ่อนแอ” แต่อย่าวิตกกังวลถึงขั้นถอดรองเท้าส้นสูงทิ้งกลางร้านอาหาร หรือเดินเท้าเปล่าในซูเปอร์มาร์เก็ต สิ่งที่แนะนำคือ ให้คุณหันมาเดินเท้าเปล่าขณะอยู่ในบ้านและบริเวณรอบบ้านหรือในสวนให้ได้มากที่สุด พูดง่ายๆ คือให้เวลากับการเดินเท้าเปล่ามากขึ้น หรือหันมาใส่ “รองเท้าเท้าเปล่า” เช่น Vibram Fivefingers V-Soul เพื่อทำกิจกรรมในกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เท้าของคุณโล่งปลอดจากการบีบรัดของรองเท้า เดินเท้าเปล่าเป็นอย่างไร “ในเชิงจิตวิทยา มันให้ความรู้สึกที่ไม่น่าเชื่อกับการมีประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับพื้นใต้เท้าของคุณโดยตรง”

Read More

นอนไม่หลับ … กินกีวี

Column: Well – Being อาหารและการนอนจัดว่าเป็นสองปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ จึงไม่น่าแปลกที่เหล่านักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาอย่างขะมักเขม้นว่า ทั้งสองปัจจัยนี้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร นายแพทย์คริส วินเทอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนแห่งชาร์ลอตวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย และผู้เขียนหนังสือ The Sleep Solution ยืนยันว่า ทั้งอาหารและการนอนมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน “การนอนและการตื่นถูกควบคุมโดยปฏิกิริยาเคมีอันซับซ้อนในร่างกาย มีสารอาหารบางตัวสามารถส่งผลกระทบต่อปัจจัยเหล่านี้เพื่อเปลี่ยนสภาวะว่า คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะรู้สึกง่วงและนอนหลับ คุณตื่นกลางดึกบ่อยแค่ไหน และคุณจะเป็นอย่างไรในวันรุ่งขึ้น” นิตยสาร Shape รายงานว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มันมากกว่าคำแนะนำที่ได้ยินกันมานานแล้วว่า ให้ดื่มนมอุ่นก่อนนอนจะทำให้หลับง่ายขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า อาหารในชีวิตประจำวันมีศักยภาพที่จะช่วยปรับปรุงการนอนในเวลากลางคืนของคุณได้ กินเส้นใยให้มากขึ้น วารสาร Journal of Clinical Sleep Medicine รายงานว่า ผู้ที่บริโภคเส้นใยมาก จะมีภาวะหลับลึกยาวนานขึ้น (ผู้ที่บริโภคเส้นใยน้อย กินไขมันอิ่มตัวและน้ำตาลมาก จะตื่นกลางดึกบ่อยครั้งขึ้น) แม้ผู้เชี่ยวชาญจะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า เส้นใยอาหารมีอิทธิพลต่อการนอนอย่างไร แต่มันอาจอธิบายถึงวิธีที่ร่างกายของคุณย่อยคาร์โบไฮเดรตต่างชนิดกัน คาร์โบไฮเดรตเส้นใยต่ำ เช่น ข้าวขาว และขนมปังแป้งขัดขาว จะถูกย่อยและแตกตัวเป็นน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณกินในเวลากลางคืน มันจะลดคุณภาพการนอนของคุณได้ นายแพทย์โรเบิร์ต เกรแฮม ผู้ร่วมก่อตั้ง Fresh

Read More

ถนอมเทโลเมียร์ช่วยยืดอายุขัย

Column: Well – Being เกิด... แก่... เจ็บ... ตาย คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราพึงสำเหนียกว่า ไม่มีใครหลีกเลี่ยงหรือหนีพ้นได้ แต่วิทยาศาสตร์พยายามหาหนทางควบคุมกระบวนการเสื่อมชราให้ทรงประสิทธิภาพได้มากกว่าที่คุณคาดคิดด้วยซ้ำ ขึ้นกับเทโลเมียร์เท่านั้น นิตยสาร GoodHealth รายงานข้อเท็จจริงว่า เมื่อพูดถึงกระบวนการเสื่อมชราของคนเรา จุดเริ่มต้นทั้งหมดเริ่มจากสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของเรา โครงสร้างของแต่ละเซลล์ประกอบด้วยโครโมโซมที่ทำหน้าที่เป็นตัวพาหน่วยพันธุกรรมของเรา และตรงส่วนปลายสุดของโครโมโซมมีปลอกหุ้มที่เป็นโปรตีนเรียกว่า เทโลเมียร์ (telomeres) เมื่อแรกเกิด เทโลเมียร์เหล่านี้ยาว 10,000 คู่เบส แต่พออายุมากขึ้นราว 35 ปี เทโลเมียร์จะลดความยาวเหลือเพียง 7,500 คู่เบส เมื่อเทโลเมียร์เริ่มสั้นลง เซลล์ของเราจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือผลกระทบที่เกิดขึ้น คือเราเริ่มแก่ตัวลงในเชิงชีววิทยา ศาสตราจารย์เอลิซาเบธ แบล็คเบิร์น นักอณูชีววิทยาเจ้าของรางวัลโนเบล และศาสตราจารย์เอลิซซา เอเปล สองนักวิจัยชั้นนำด้านศาสตร์ชะลอวัยผู้ทุ่มเทเวลาถึง 2 ทศวรรษให้กับการศึกษาด้านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเซลล์ร่างกายมนุษย์ โดยเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เมื่อเวลาล่วงเลยไปในแต่ละปี ให้คิดว่าร่างกายของเราก็เหมือนลังบรรจุผลแอปเปิลจนเต็ม “เซลล์ในร่างกายคนที่ยังแข็งแรง เปรียบเหมือนแอปเปิลที่ยังสด มีผิวใสชุ่มน้ำ แต่ลองคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าในลังนั้นมีแอปเปิลเน่าหนึ่งลูก มันจะทำให้แอปเปิลอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เน่าเสียตามไปด้วย

Read More

กำจัดความอยากน้ำตาลได้ในพริบตา

Column: Well – Being ปัจจุบันปัญหาของคนยุคใหม่จำนวนไม่น้อย คือ น้ำตาลกลายเป็นสิ่งเย้ายวนใจในชีวิตประจำวันที่เรารู้สึกว่า ไม่มีพลังที่จะต่อต้านเอาเสียเลย แทนที่การเสิร์ฟขนมหวานจะมีขึ้นในวาระพิเศษเป็นครั้งคราว เช่น วันคล้ายวันเกิด วันฉลองครบรอบแต่งงาน วันฉลองความสำเร็จ ฯลฯ คนมากมายกลับติดขนมหวานจนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน (บางครั้งเป็นรายชั่วโมงด้วยซ้ำ !) เพื่อสนองความพอใจกับภาวะเสพติดน้ำตาลของเรา ไม่ว่าคุณจะติดขนมหวานหนักหน่วงแค่ไหน ขอให้รู้ไว้เถอะว่า ยังมีหวัง ! แอนน์ อเล็กซานเดอร์ ผู้เขียนหนังสือ The Sugar Smart Diet กล่าวว่า กุญแจไขไปสู่การหลุดพ้นจากภาวะเสพติดน้ำตาล คือ การสลัดให้พ้นจากพลังเกาะติดอย่างแน่นหนาที่น้ำตาลมีต่อร่างกายและจิตใจของคุณ หนังสือ The Sugar Smart Diet พูดถึงเกร็ดที่น่าสนใจที่ช่วยให้คุณเลิกอยากน้ำตาลได้เร็วกว่าที่คุณจะทันควานหาช็อกโกแลตแท่งโปรดเจอเสียอีก เน้นโปรตีนเป็นอาหารเช้า ผลการวิจัยระบุว่า การเน้นกินโปรตีนในช่วงอาหารเช้า ทำให้คุณยากที่จะรู้สึกอยากน้ำตาลในช่วงเวลาต่อมา การเลือกกินโปรตีนปราศจากไขมัน เช่น กรีกโยเกิร์ต เนยถั่ว ไข่ และเนยแข็งไขมันต่ำ ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเกรลินน้อยลง ฮอร์โมนตัวนี้กระตุ้นให้รู้สึกหิวและผลิต PYY ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณว่าอิ่มออกมามากขึ้น ผลการทำเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอในผู้บริโภคอาหารเช้าโปรตีนสูงของมหาวิทยาลัยมิสซูรี ระบุว่า อาหารเช้าโปรตีนสูงลดกิจกรรมของพื้นที่สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความอยากได้ อย่าปล่อยให้รู้สึกหิว การงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งเป็นหลักประกันว่า ความอยากน้ำตาลต้องพุ่งสูงขึ้น

Read More

รู้จักผู้พิทักษ์ดวงตาในทุกช่วง 10 ปีของอายุ

Column: Well – Being ริชาร์ด เดวิดสัน ศาสตราจารย์ด้านจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคโลราโด เตือนให้เราสำเหนียกว่า “พฤติกรรมทุกอย่างตั้งแต่การนั่งจ่อมเฝ้าหน้าจอทีวีไปจนถึงการนอนไม่เพียงพอ สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาของคุณทั้งสิ้น” นิตยสาร Family Circle จึงนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัจจัยที่สามารถเป็นอันตรายต่อดวงตาและช่วยถนอมรักษาดวงตาของคุณในทุกช่วง 10 ปีของช่วงชีวิตของคุณดังนี้ ช่วงอายุ 20 ปี ศัตรูของดวงตา–รังสีอัตราไวโอเลต มีผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเพียงร้อยละ 21 ที่สวมแว่นกันแดดเสมอ แต่ดวงตาของคุณจำเป็นต้องได้รับการปกป้องตลอดทั้งปี การปล่อยให้ดวงตารับรังสีอัลตราไวโอเลตในระยะยาว อาจเป็นสาเหตุให้เกิดต้อกระจก และโรคจอประสาทตาเสื่อม มินา มาสเซโร ศาสตราจารย์คลินิกด้านจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เพอเรลแมน อธิบายว่า “รังสีอัลตราไวโอเลตสามารถทะลุผ่านก้อนเมฆลงมาได้ แม้ในวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆ คุณควรสวมแว่นกันแดด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นที่คุณต้องอยู่กลางแจ้ง” ผู้พิทักษ์ดวงตา–การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอช่วยรักษาสุขภาพดวงตาของคุณได้ ด้วยการที่คุณสามารถรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ตลอดเวลา การปล่อยให้อยู่ในภาวะอ้วน เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง การวิจัยบางชิ้นยังระบุด้วยซ้ำว่า การออกกำลังกายมีส่วนเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อหิน “คุณไม่จำเป็นต้องเข้าโรงยิมเพื่อออกกำลังกายอย่างหักโหม เพียงแต่หลีกเลี่ยงวิถีชีวิตนั่งๆ นอนๆ และถ้ามีลิฟต์ก็ให้หันมาเดินขึ้นบันไดแทน” คาเรน มอร์แกน ศาสตราจารย์คลินิกด้านจักษุวิทยา

Read More

ลดน้ำตาลวันละ 200 แคลอรี ลดน้ำหนักได้ 10 ปอนด์

Column: well-being การที่บรรพบุรุษของเราอยากอาหารรสหวานนั้นมีเหตุผลที่ดีรองรับ เพราะเป็นสัญญาณของแหล่งพลังงานแห่งชีวิตที่ยั่งยืน “น้ำตาลเป็นหนึ่งในอาหารหลักสำคัญที่สุดที่เราอยากกิน” นิโคล อะวีนา นักประสาทวิทยาศาสตร์และผู้เขียนร่วมหนังสือ Why Diet Fail ให้เหตุผล “มันช่วยกระตุ้นการเชื่อมต่อของเซลล์สมองที่เสริมให้เราต้องการกินน้ำตาลอยู่เรื่อยๆ” แต่ทุกวันนี้ ความอยากน้ำตาลของเรามักลงเอยที่การทำให้ร่างกายของเราเสียหายอย่างรุนแรง การจะควบคุมความรู้สึกอยากของหวาน และเพื่อลดน้ำหนักตัวในกระบวนการดังกล่าวนั้น คุณต้องระมัดระวังการกินน้ำตาลทุกประเภทเข้าไปในร่างกาย โดยเฉพาะน้ำตาลที่ไม่ได้อยู่ในอาหารตามธรรมชาติ การทำอย่างนี้จะง่ายขึ้นถ้าคุณเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมคุณจึงอยากน้ำตาลและเข้าใจว่า ร่างกายของคุณมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรเมื่อคุณกินน้ำตาลน้อยลง หนังสือ Sugar Detox อธิบายว่า คุณสามารถลดปริมาณน้ำตาลได้ดีเพียงใดขึ้นกับขนาดของนิสัยการกินน้ำตาลของคุณเอง ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า คนที่กินน้ำตาลปริมาณมาก คือกินน้ำตาลส่วนเกินโดยเฉลี่ยวันละ 721 แคลอรี จะมีอาการเหมือนคนที่พยายามถอนตัวจากการเลิกยาเสพติดที่รวมถึงอาการกระวนกระวาย พักผ่อนไม่พอ และซึมเศร้า แต่อย่าได้กังวล คุณสามารถคาดหมายอาการเหล่านี้ได้หลังจากเลิกนิสัยการกินน้ำตาลปริมาณมาก ซึ่งจะเป็นอยู่ราว 1 สัปดาห์ ในเวลาเดียวกัน คุณจะรู้สึกได้ถึงผลข้างเคียงเชิงบวกจากการงดน้ำตาลที่เกิดขึ้นทันทีที่คุณเริ่มลดปริมาณน้ำตาลที่กินในแต่ละวัน ได้แก่ หัวใจทำงานดีขึ้น เจ. ไดนิโคลอันโตนิโอ นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญการวิจัยด้านหลอดเลือดและหัวใจประจำสถาบันโรคหัวใจเซนต์ลุคส์แห่งอเมริกากลาง กล่าวถึงผลการวิจัยว่า เมื่อกินน้ำตาลน้อยลง ความเสี่ยงจากการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับหัวใจจะลดลง 3 เท่า “การกินน้ำตาลส่วนเกินจะทำให้ระดับอินซูลินสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น” หลังลดน้ำตาลภายใน 2–3 สัปดาห์

Read More