Home > Life (Page 24)

โรควิตกกังวลคุกคามคุณหรือเปล่า

Column: Well – Being ถ้าคุณมีชีวิตเหมือนคนส่วนใหญ่ที่อยู่กับข้อผูกมัดทางครอบครัว กำหนดเส้นตายในการทำงาน ความยุ่งเหยิงทางการเมือง หรือข่าวประจำวันอะไรก็ตามที่ทำให้คุณไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา และปัจจัยเหล่านี้ทำให้คุณเกิดความรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย หรือาจถึงขั้นตึงเครียดมากด้วยซ้ำ รีด วิลสัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวช แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา กล่าวว่า มีผลการศึกษาชี้ว่า ชาวอเมริกันเป็นคนขี้ตื่นเต้นไม่เบา ผู้ใหญ่เกือบทุก 1 ใน 5 คนป่วยจากโรควิตกกังวล ในจำนวนนี้ผู้หญิงเป็นมากกว่าถึง 4 เท่า นิตยสาร Prevention : Relieve Anxiety Naturally ประมาณการว่า มีชาวอเมริกันราว 40 ล้านคนต้องทุกข์ทรมานจากโรคนี้ และให้วิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ ว่า คุณถูกคุกคามจากโรควิตกกังวลนี้บ้างหรือไม่ ดังนี้ ความวิตกกังวลออกอาการทางร่างกาย เรากำลังพูดถึงความเจ็บปวดทางร่างกายที่เกิดขึ้นจริง แหล่งที่มานั้นหลากหลายขึ้นกับแต่ละบุคคล รอยซ์ ลี จิตแพทย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวช แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก อธิบายว่า คนจำนวนมากที่เป็นโรควิตกกังวลต้องทนทุกข์กับภาวะโซมาติก เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ชีพจรเต้นเร็ว ปวดท้อง

Read More

ธรรมชาติ – ยาที่ดีที่สุด

Column: Well – Being ยุคนี้เป็นยุคที่คนในสังคมต้องแบกรับภาระหน้าที่การงาน ครอบครัว และข้อมูลข่าวสารพร้อมกันในคราวเดียวชนิดที่เรียกว่าหนักเกินกำลังก็ว่าได้ และมักขาดแรงสนับสนุนจากสังคมที่จะช่วยให้ภาระที่แบกรับเอาไว้ทั้งหมดเดินหน้าไปพร้อมๆ กันได้ด้วยดี และเพราะงานที่ทำต้องใช้คอมพิวเตอร์รวมทั้งสมาร์ทโฟนเป็นหลัก ทำให้เราเผชิญหน้ากับประสบการณ์ของการผิดที่ผิดทางครั้งมโหฬารในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ นั่นคือ การแยกห่างจากโลกธรรมชาติทั้งด้านกายภาพและอารมณ์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นิตยสาร Prevention : Relieve Anxiety Naturally รายงานว่า มนุษย์รู้สึกมานานแล้วว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องค่อยๆ เชื่อมโยงกับธรรมชาติ และนักวิจัยก็ค้นพบข้อดีที่เป็นรูปธรรมมากมายในการกลับไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติใหม่ เพราะธรรมชาติเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของเรา Prevention จึงเสนอแนะวิธีออกไปใช้เวลากลางแจ้งที่สามารถแก้ปัญหาการเจ็บไข้ได้ป่วยของคุณดังนี้ อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การจราจรบนท้องถนนไปจนถึงเสียงเครื่องบินเจ็ตบนท้องฟ้าเหนือหัวเรา ยาถอนมลพิษทางเสียงคืออะไรรึ เสียงจากธรรมชาตินั่นเอง ตลอดระยะเวลาแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์เรา เสียงนกร้องย้ำเตือนเราว่า จะไม่มีพายุพัดกระหน่ำ โจชัว สมิธ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท ผู้ศึกษาเรื่องความสงบจากเสียงธรรมชาติส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและระดับฮอร์โมน แนะนำให้เราหาเวลาวันละ 20 นาที ปลีกตัวไปอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ในกรณีที่คุณไม่สามารถออกไปข้างนอก ให้ใช้แอปหรือเทปบันทึกเสียงจากธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงลม หรือเสียงคลื่นแทน ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน จมูกของเราทำหน้าที่เหมือนหู คือสร้างช่องทางเชื่อมต่อไปสู่สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ของเรา นักวิจัยญี่ปุ่นพบว่า สารไพนีนที่ต้นไม้เขียวชอุ่มปล่อยออกมา มีผลในการลดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่น้ำมันหอมระเหยจากต้นสนฮิโนกิออกฤทธิ์ให้เซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติในผู้ใหญ่ทำงานแข็งขันขึ้นหรือเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายนั่นเอง

Read More

มิติใหม่…ออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์

Column: Well – Being การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ ไม่เพียงส่งผลดีต่อคุณ แต่ยังช่วยให้ทารกน้อยในครรภ์แข็งแรงด้วย นิตยสาร Shape นำเสนอคำแนะนำใหม่ๆ ว่า ว่าที่คุณแม่ควรออกกำลังกายหนักแค่ไหน ให้ลองศึกษากันดู ภาควิชาสูตินรีเวชวิทยาแห่งอเมริกากล่าวว่า ตราบเท่าที่หมอประจำตัวตรวจสุขภาพของคุณโดยละเอียดแล้ว และไฟเขียวให้โดยตลอด สิ่งที่หญิงตั้งครรภ์ต้องทำโดยไม่คำนึงถึงระดับความฟิตของร่างกาย คือ คุณสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดอาการปวดหลัง ช่วยให้น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นไปอย่างแข็งแรง และลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือลดอันตรายจากการผ่าตัดคลอด แพทย์หญิงไดอานา รามอส ผู้ช่วยศาสตราจารย์คลิกนิกวุฒิคุณด้านสูตินรีเวชวิทยาแห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย แนะนำว่า “แน่นอน คุณจำเป็นต้องออกกำลังกายให้ช้าลงเล็กน้อย และเชื่อฟังร่างกายของคุณด้วย” ต่อไปนี้คือคำแนะนำเพื่อให้ระยะ 9 เดือนของการตั้งครรภ์ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและแข็งแรง ทำ resistance training และแอโรบิกต่อไป ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Activity and Health แสดงว่า ผู้หญิงที่ออกกำลังกายแบบ resistance training ร่วมกับแอโรบิกขนาดปานกลาง–หนัก (ประมาณสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที)

Read More

ตัวช่วยบำรุงผิวที่มองไม่เห็น

Column: Well – Being แค่คิดว่ามีจุลินทรีย์อาศัยอยู่บนใบหน้า คงทำให้คุณฝันร้ายอย่างสยดสยอง แต่นั่นคือภาวะที่เกิดขึ้นจริง อย่างน้อยที่สุดก็ในระดับที่ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ในลำไส้ของคุณก็มีไมโครไบโอมหรือจุลินทรีย์จำนวนมหาศาลนับร้อยล้านตัวอาศัยอยู่ ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การทำงานของสมอง ไปจนถึงน้ำหนักตัวของคุณ นิตยสาร Shape รายงานว่า ปัจจุบันนักวิจัยค้นพบว่า ผิวหนังของคนเราเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียชนิดพิเศษที่มีผลต่อสุขภาพของผิวหนัง จุลินทรีย์แข็งแรงราวหนึ่งล้านล้านตัวบนผิวหนังนี้ แตกต่างจากจุลินทรีย์ในลำไส้ รวมทั้งมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคนด้วย ดร.วิทนีย์ บาว แพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังและผู้เขียนหนังสือ The Beauty of Dirty Skin อธิบายว่า “เหมือนกับที่ตะบองเพชรสายพันธุ์หนึ่งเจริญเติบโตได้ดีตามธรรมชาติในรัฐแอริโซนา แต่ไม่ใช่ที่มิดเวสต์ แบคทีเรียแต่ละสายพันธุ์ต่างต้องการสภาพแวดล้อมที่มันเจริญเติบโตได้” ทำความรู้จักแบคทีเรียผิวหนังของคุณ ดร.เจฟฟรีย์ โดเวอร์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังกล่าวว่า ในอดีตผู้เชี่ยวชาญต่างคิดเพียงว่า จุลินทรีย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นได้แค่ศัตรูหรือไม่ก็มีประโยชน์ต่อมนุษย์เท่านั้น แต่ปัจจุบันพวกเขาค้นพบสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่แบคทีเรียได้ทำมา เช่น แบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณให้เซลล์ผลิตไขมันและเซราไมด์ที่จำเป็นต่อการปกป้องผิวหนังจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก ซึ่งทั้งไขมันและเซราไมด์ล้วนจำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้นและทำให้ผิวหนังไม่ระคายเคือง เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า ผลการวิจัยครั้งล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียซานดิเอโก ยังพบว่า มีแบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งสามารถสร้างสารที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งด้วย แต่ก็มีแบคทีเรียตัวร้ายด้วยเช่นกัน โดยแบคทีเรียบางชนิดกระตุ้นการอักเสบและมีบทบาททำให้เกิดสิว โรคโรซาเซีย โรคกลาก และโรคสะเก็ดเงิน ข้อควรจำคือ “การพยายามกำจัดแบคทีเรียดังกล่าวหาใช่คำตอบไม่ แม้คุณจะสามารถทำได้ แต่นั่นจะเป็นการกำจัดแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ให้ตายทั้งหมดด้วย ไม่มีแบคทีเรียชนิดไหนที่ดีที่สุด

Read More

ไขความลับ ทำไมจึงอยากอาหาร empty calories

Column: Well – Being คุณคงเคยมีประสบการณ์ที่จู่ๆ อาการอยากน้ำตาลก็เข้าจู่โจมอย่างไม่คาดฝันและไร้ความละเอียดอ่อนสิ้นดี จู่ๆ คุณก็คิดถึงคุกกี้ช็อกโกแลตชิปที่คุณแม่เคยทำให้กิน และอยากขึ้นมาติดหมัดจนไม่นึกถึงอะไรอีกเลย แต่ปัจจัยที่ทรงอิทธิพลสูงสุดคือ ผลของน้ำตาลที่เกิดขึ้นกับระบบชีววิทยาของเรา “เป็นความคิดผิดๆ ที่ว่า เรากินอาหารรสหวานเพราะมันมีรสชาติดี” เดวิด ลุดวิก ศาสตราจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ ที. เอช. ชาน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลเด็กแห่งบอสตัน อธิบาย “อย่างไรก็ตาม เรากินอาหารรสหวานเหล่านั้น เพราะมันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายที่ทำให้เรารู้สึกอยากกินอีกด้วย” หนังสือ Prevention Guide เสนอบทความว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความเชื่อในสายใยอันซับซ้อนระหว่างแรงกระตุ้น ความจำ อิทธิพลทางวัฒนธรรม และฮอร์โมน ที่เป็นสาเหตุให้เราอยากอาหารที่มีรสชาติและเนื้อสัมผัสเฉพาะตัว นอกจากนี้ ยีนที่สืบทอดมาก็มีบทบาทเช่นกัน ผลการศึกษาของเดนมาร์กพบว่า ในสองตัวแปรของยีนตัวหนึ่ง ผู้ที่มีตัวแปรเพียงหนึ่งในสองตัวแปรนี้มีแนวโน้มจะโปรดปรานอาหารรสหวานมากกว่าผู้ที่ไม่มีตัวแปรเลย แต่ไม่มีมติที่เป็นเอกฉันท์ว่า แต่ละปัจจัยมีความสำคัญอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เรารู้กันเกี่ยวกับว่า ทำไมอาหารบางชนิดจึงทำให้คุณรู้สึกอยากกินได้เหมือนๆ กัน เป็นเพราะเมื่อสมองตรวจพบน้ำตาลโปรตีน หรือไขมันแล้ว สมองจะหลั่งสัญญาณการได้รับรางวัลออกมา “มีเหตุผลเชิงวิวัฒนาการหลายประการที่สารอาหารหลักเหล่านี้ทำให้ทุกคนต่างอยากกินเหมือนกัน เพราะสารอาหารเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์นั่นเอง” มาร์เซีย เพลแชท นักวิจัยด้านความอยากอาหารผู้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณแห่งศูนย์ประสาทสัมผัสทางเคมีโมเนลล์ อธิบาย

Read More

ไม่เติมน้ำตาลในอาหาร ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรแทน

Column: Well – Being ต้องทำความเข้าใจกันใหม่อย่างหนึ่ง คือ น้ำตาลไม่ใช่หนทางเดียวในการช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร สมุนไพรและเครื่องเทศล้วนช่วยเสริมโลกของรสชาติและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญทั้งสมุนไพรและเครื่องเทศมีราคาถูกและง่ายต่อการใช้งาน หนังสือ Prevention Guide ยืนยันว่า เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น คุณสามารถฝึกต่อมรับรสให้เลิกอยากอาหารที่เติมน้ำตาลปริมาณมากได้ “เมื่ออาหารเริ่มขาดรสชาติและน่าเบื่อ คุณมีแนวโน้มต้องมองหากระปุกน้ำตาล” เว็นดี้ บราซิเลียน นักกำหนดอาหารและกรรมการที่ปรึกษาของ Prevention อธิบาย หนึ่งในวิธีง่ายๆ ในการหลีกเลี่ยงชะตากรรมดังกล่าว คือใช้สมุนไพรและเครื่องเทศแทนการใช้สารให้ความหวานหรือน้ำตาล เพื่อทำให้อาหารของคุณมีรสชาติดีขึ้น ต่อไปนี้เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศยอดนิยมที่นำมาใช้ปรุงอาหาร อบเชย ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเทศยอดนิยมและปลอดภัยสูงสุดที่ใช้แทนน้ำตาล ผลการศึกษาระบุว่า อบเชยช่วยระงับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อคุณบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตปริมาณสูง ข้อมูลนี้ถือเป็นข่าวดีเพราะเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนอินซูลินด้วย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด เมื่อนำไปปรุงอาหารและได้รับความร้อน อบเชยทั้งแท่งจะค่อย ๆ ปล่อยรสชาติและน้ำหอมในตัวออกมา ขณะที่อบเชยป่นทำให้อาหารมีกลิ่นหอมหวานขึ้นทันที สะระแหน่ ถ้าคุณเคยชินกับนิสัยต้องบริโภคของหวานหลังอาหาร สะระแหน่เป็นตัวทดแทนของหวานชั้นเยี่ยม สมุนไพรตัวนี้ยังช่วยย่อยอาหารและลดความเสี่ยงจากภาวะท้องอืดหลังอาหารสะระแหน่มีมากกว่า 600 สายพันธุ์ แต่ที่นำมาใช้บ่อยครั้งที่สุดในการปรุงอาหารคือสเปียร์มินต์และเปปเปอร์มินต์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้รู้สึกสดชื่นเพิ่มเติมจากอาหารจานเผ็ดและหวาน กระวาน เป็นสมุนไพรตระกูลขิงที่ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และถูกเชื่อมโยงเข้ากับคุณสมบัติการลดความดันโลหิตอย่างมีนัยสำคัญ กระวานเขียวนิยมนำมาปรุงอาหารมากที่สุด ฝักและเมล็ดกระวานใช้บริโภคได้ สามารถใช้ได้ทั้งในรูปที่เป็นฝักและชนิดป่น ยี่หร่า เครื่องเทศที่ให้รสชาติหอม เผ็ดร้อน และมีกลิ่นหอมของพืชตระกูลส้มนี้ สามารถกระตุ้นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการย่อยอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำไปใช้ให้นำไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน จากนั้นใช้ครกตำ

Read More

ถั่วลันเตาทดแทนเวย์โปรตีนได้ & ฝึกหายใจช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรด

Column: Well – Being ถั่วลันเตาทดแทนเวย์โปรตีนได้ ข่าวดีในวงการอาหารตอนนี้ คือ ทุกคนมีสิทธิได้รับประโยชน์อันเอกอุจากถั่วลันเตา นิตยสาร Shape กล่าวถึงผลการศึกษาในฝรั่งเศสว่า หลังการออกกำลังกายแบบ resistance training แล้ว ผู้ที่บริโภคโปรตีนจากถั่วลันเตายอมรับว่า รู้สึกได้รับความแข็งแรงมากพอๆ กับผู้ที่ดื่มเวย์โปรตีนหลังออกกำลังกายเหมือนกัน ดร.นิโคลัส บาบอลท์ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งมหาวิทยาลัย Burgundy–Franche–Comte กล่าวว่า “โปรตีนถั่วลันเตาก็เหมือนเวย์โปรตีนที่เป็นแหล่งโครงสร้างของกรดอะมิโนที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และโดยเหตุที่บางคนอาจมีปัญหาการย่อยเวย์โปรตีน โปรตีนถั่วลันเตาจึงเป็นทางเลือกที่วิเศษสุด” วารสาร Nutrient ยังรายงานว่า ถั่วลันเตาช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง อาหารมื้อที่มีถั่วลันเตาและถั่วปากอ้า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกอิ่มทนเหมือนได้กินเนื้อและไข่ที่มีโปรตีนและเส้นใยในปริมาณเท่ากัน ปัจจุบันวงการจึงได้เห็นผลิตภัณฑ์โปรตีนถั่วลันเตารูปโฉมใหม่ที่หลากหลายมากมายตั้งแต่น้ำปั่นไปจนถึงอาหารว่างให้ลิ้มลองกัน ฝึกหายใจช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรด นิตยสาร Shape รายงานว่า ปัจจุบันวงการเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกำลังคลั่งไคล้การฝึกกำหนดลมหายใจเข้าและออกกันยกใหญ่ ผู้คนพากันหลั่งไหลสมัครเข้าชั้นเรียนการฝึกกำหนดลมหายใจ ผู้ที่นิยมการฝึกแนวทางนี้ยืนยันว่า การฝึกหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอช่วยพวกเขาได้เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ และสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ตนเองได้ “การกำหนดลมหายใจทำให้ความคิดนิ่ง ทำให้คุณเชื่อมโยงกับร่างกายและความรู้สึกของคุณได้” ซารา ซิลเวอร์สไตน์ ครูฝึกสอนการกำหนดลมหายใจในบรุคลิน, รัฐนิวยอร์ก กล่าว และถ้าคุณไม่สะดวกไปเข้าชั้นเรียน คุณสามารถทำที่บ้านเองก็ได้ ฝึกหายใจสามจังหวะ ลดภาวะเลือดเป็นกรด รูปแบบการหายใจมี 3 ประเภทด้วยกัน แต่ที่เป็นพื้นฐานคือ การหายใจสามจังหวะ ซึ่งฝึกได้ด้วยการสูดลมหายใจผ่านทางปากให้ลึกเข้าสู่ช่องท้อง และให้เข้าสู่ช่องอกอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพ่นลมหายใจออก

Read More

น้ำในรูปเจล แหล่งพลังงานใหม่ของคุณ

Column: Well – Being วงการวิทยาศาสตร์ระบุข้อมูลล่าสุดว่า น้ำที่พบในพืชถือเป็นน้ำชั้นยอด และเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยมของคุณ นิตยสาร Shape รายงานว่า สิ่งจำเป็นที่ร่างกายของคุณต้องการอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น กลับกลายเป็นน้ำในรูปเจล (gel water) ซึ่งเป็นสารที่เป็นที่รู้จักกันน้อยมาก และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เองก็เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำในรูปเจลกันอย่างจริงจัง น้ำในรูปเจลนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า น้ำที่มีโครงสร้างขนาดเล็ก (structured water) เป็นของเหลวที่พบในและรอบๆ พืชและเซลล์ของสัตว์ ซึ่งรวมถึงเซลล์ในร่างกายของเราด้วย แพทย์หญิงดานา โคเฮน ผู้เขียนร่วมหนังสือ Quench ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับน้ำในรูปเจลอธิบายต่อไปว่า “เพราะน้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ในเซลล์ร่างกายของเรา ล้วนอยู่ในรูปของเจล และเราเชื่อว่าร่างกายของเราสามารถดูดซึมได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ” นั่นหมายความว่า น้ำในรูปเจลที่เราได้จากพืช เช่น ว่านหางจระเข้ เมลอน ผักใบเขียว และเมล็ดเจีย เป็นหนทางในการทำให้เราได้น้ำ พลังงาน และสุขภาพที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง จริงๆ แล้ว การบริโภคน้ำในรูปเจลเพิ่มขึ้นจากการดื่มน้ำเปล่าในระหว่างการออกกำลังกาย หรือในทุกครั้งที่ร่างกายของคุณรู้สึกกระหายน้ำ อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเติมน้ำแก่ร่างกาย ดร.สเตซี ซิมส์ นักกายภาพบำบัดด้านการออกกำลังกายและนักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการ ประจำมหาวิทยาลัยไวกาโต ประเทศนิวซีแลนด์ และผู้เขียนหนังสือ Roar กล่าวว่า

Read More

สัพเพเหระ

Column: Well – Being เราได้คัดเลือกและรวบรวมสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นสาระความรู้ด้านสุขภาพจากนิตยสาร GoodHealth มานำเสนอดังนี้ ทำไมลิ้นแตกหรือเป็นฝ้าขาว ลิ้นสุขภาพดีจะมีสีชมพู มีความชุ่มชื้น และเต็มไปด้วยปุ่มสีขาวขนาดเล็กที่เรียกว่าปุ่มลิ้นหรือตุ่มรับรส ภาวะน้ำลายแห้งสามารถนำไปสู่อาการลิ้นแห้งและแตกได้ คุณยังอาจเกิดอาการลิ้นเป็นฝ้าขาวหรือดำ เพราะสาเหตุจากการติดเชื้อราก็ได้ ถ้าอาการดังกล่าวยังติดอยู่เป็นเวลานาน มันอาจส่อถึงโรคเบาหวานได้ เพราะน้ำตาลกลูโคสปริมาณสูงในน้ำลาย นำไปสู่การที่ยีสต์ Candida albicans เติบโตเร็วเกินไป นอกจากนี้ ยาปฏิชีวนะยังสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะติดเชื้อราได้ด้วย “ยาปฏิชีวนะเข้าไปฆ่าแบคทีเรียทั้งดีและเลว และเมื่อแบคทีเรียดีถูกฆ่าตายหมด นั่นย่อมทำให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นโทษต่อร่างกายเจริญเติบโตในปากของคุณอย่างรวดเร็ว” ดร.ฟลูเออร์ ครีปเพอร์ ปริทันตทันตแพทย์และสมาชิกคณะกรรมการสุขภาพช่องปากแห่งสมาคมทันตกรรมออสเตรเลียอธิบาย ให้รักษาด้วยยาฆ่าเชื้อราและกินอาหารโพรไบโอติกส์ อยู่กับโรคแพ้ภูมิตัวเองให้ได้ มีรายงานกล่าวว่า ชาวออสเตรเลียประมาณ 1.2 ล้านคนต้องมีชีวิตอยู่กับโรคแพ้ภูมิตัวเอง และประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผู้หญิงเสียด้วย โรคแพ้ภูมิตัวเองเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลงตัวเอง หันมาโจมตีเนื้อเยื่อและเซลล์ที่แข็งแรงและปกติ แทนการทำลายแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แต่ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า ทำไมผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงสูงกว่า โรคแพ้ภูมิตัวเองมีมากกว่า 80 ชนิด และผลการศึกษาระบุว่า คนในโลกตะวันตกได้รับผลกระทบต่อโรคนี้มากกว่า ซึ่งสาเหตุก็ยังไม่ชัดเจนอีกเช่นกัน แต่มีการสันนิษฐานว่า ภาวะอ้วน การบริโภครสเค็มเกินไป รวมทั้งอาหารแปรรูป และความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น อาจมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของโรคแพ้ภูมิตัวเองได้ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็น่าจะมีส่วนเช่นกัน “การที่มีผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อมบ่งชี้ว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญด้วย” เวอร์จิเนีย แลดด์

Read More

เดินเท้าเปล่าดีตรงไหน

Column: Well – Being มนุษย์เดินเหยียบย่างบนพื้นผิวโลกมาหลายล้านปีแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ เรากลับมารณรงค์ให้หันกลับมาเดินเท้าเปล่ากันอีก จริงๆ แล้วผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า เมื่อเราเดินด้วยเท้าเปล่าโดยปราศจากการสวมรองเท้า การเคลื่อนไหวของเราจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง คือมีความกลมกลืนหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาพแวดล้อม ซึ่งมักหมายถึงช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ และที่น่าประหลาดคือ สามารถปกป้องเท้าและร่างกายโดยรวมได้ดีขึ้นด้วย นิตยสาร Top Health & Beauty แนะนำให้จินตนาการว่า เท้าของคุณทำหน้าที่เสมือนฐานรากของบ้าน สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ฐานรากนั้นวางตัวอย่างถูกต้อง แล้วจะส่งผลให้โครงสร้างของร่างกายโดยรวมทรงตัวอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง ! โทนี ริดเดิล ผู้เชี่ยวชาญการใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ตั้งข้อสังเกตว่า “ปกติแล้วเท้าของมนุษย์บริเวณส่วนของนิ้วเท้าจะกว้างกว่าและเรียวแคบเข้าตรงบริเวณส้นเท้า แต่มีรองเท้าสมัยใหม่มากมายที่ออกแบบตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่า เท้าของคุณต้องถูกยัดเข้าไปในรองเท้าที่เปลี่ยนรูปร่างของเท้า หรือผู้สวมใส่ต้องสวมรองเท้าส้นหนาที่เข้าไปขัดขวางการทำงานของปลายประสาทสัมผัส ส่งผลให้เกิดการเดินที่เป็นธรรมชาติน้อยลงและสามารถก่อให้เกิดปัญหาต่อร่างกายตามมา เช่น เจ็บเอ็นร้อยหวาย กล้ามเนื้อสะโพกหย่อนยาน และแกนกลางลำตัวอ่อนแอ” แต่อย่าวิตกกังวลถึงขั้นถอดรองเท้าส้นสูงทิ้งกลางร้านอาหาร หรือเดินเท้าเปล่าในซูเปอร์มาร์เก็ต สิ่งที่แนะนำคือ ให้คุณหันมาเดินเท้าเปล่าขณะอยู่ในบ้านและบริเวณรอบบ้านหรือในสวนให้ได้มากที่สุด พูดง่ายๆ คือให้เวลากับการเดินเท้าเปล่ามากขึ้น หรือหันมาใส่ “รองเท้าเท้าเปล่า” เช่น Vibram Fivefingers V-Soul เพื่อทำกิจกรรมในกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เท้าของคุณโล่งปลอดจากการบีบรัดของรองเท้า เดินเท้าเปล่าเป็นอย่างไร “ในเชิงจิตวิทยา มันให้ความรู้สึกที่ไม่น่าเชื่อกับการมีประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับพื้นใต้เท้าของคุณโดยตรง”

Read More