Home > airline

ฤา ธุรกิจการบินของไทย ถึงคราล่มสลายและอวสาน?

สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ครั้งล่าสุดในสังคมไทยกำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นและความเป็นไปของสังคมไทยอย่างหนักหน่วง เพราะการแพร่ระบาดดังกล่าวไม่เพียงแต่จะทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นสถิติใหม่ในแต่ละวัน ซึ่งติดตามมาด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันกว่า 100 ราย จากผลของการขาดแคลนเตียงในการรักษาพยาบาล สะท้อนภาพความล่มสลายของระบบการสาธารณสุขไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง ขณะเดียวกันมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของกลไกรัฐครั้งใหม่ที่ดำเนินไปด้วยการล็อกดาวน์ หรือการสั่งห้ามการเดินทาง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจสังคมอีกหลากหลายประการกำลังทำให้ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำซบเซามาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2563 ทรุดหนักลงไปอีกและขยายวงกว้างส่งผลกระทบต่อธุรกิจแต่ละประเภทมากขึ้นไปอีก โดยบางธุรกิจได้ถึงคราวล่มสลายและยุติกิจการไปโดยปริยาย โดยเฉพาะธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและภาคบริการที่เคยเป็นกลไกในการหนุนนำเศรษฐกิจไทยมาก่อนหน้านี้ การแพร่ระบาดดังกล่าวทำให้การคาดการณ์ว่าด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2564 ถูกปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดหลายสำนักได้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เพียงร้อยละ 1 จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 1.8 เพราะการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีความรุนแรงกว่าที่เคยประเมินไว้ ทำให้ต้องมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงานมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทรุดตัวลงไปอีก ขณะที่มาตรการเยียวยาจากภาครัฐน่าจะช่วยประคองการดำรงชีพที่จำเป็น แต่ไม่สามารถชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวมได้ และมีบางสำนักประเมินในทางลบถึงขั้นที่ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 อาจไม่เติบโตเลย และมีแนวโน้มที่จะเติบโตแบบติดลบอีกด้วย ข้อสังเกตที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งอยู่ที่การปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2564 ลงมาอยู่ที่ 2.5-6.5 แสนคน จากเดิมประมาณการไว้ที่ 2.5 แสน-1.2 ล้านคน โดยแม้ว่าจะเริ่มมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” และ “สมุย พลัส โมเดล” แต่การจะเปิดรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่อื่น และจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามายังต้องขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดและการเร่งฉีดวัคซีนเป็นหลัก

Read More

จาก COVID-19 สู่วิกฤตการบินโลก

ข่าวการประกาศเลิกกิจการของสายการบินนกสกู๊ต (NokScoot) เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของทั้งผู้คนในแวดวงการบินและประชาชนทั่วไป ที่ต่างประเมินทิศทางธุรกิจการบินและการท่องเที่ยวในยุคหลัง COVID-19 ว่าจะต้องดำเนินไปอย่างยากลำบาก และทำให้อุตสาหกรรมการบิน-การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่น่าจะฟื้นตัวได้ช้าในห้วงเวลานับจากนี้ก็ตาม การเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ดูจะเป็นไปภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขที่รัดกุมมากขึ้น ขณะที่การ lockdown หรือปิดเมืองของนานาประเทศก็ทำให้ผู้ประกอบการสายการบินต้องยกเลิกการให้บริการตลอดช่วงเวลาที่การแพร่ระบาด COVID-19 อยู่ในกระแสสูงและสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง ซึ่งหมายถึงรายได้จากการประกอบการที่หดหายไป ควบคู่กับต้นทุนการดำเนินการที่ยังคงอยู่ในระดับเดิม ความเป็นไปของนกสกู๊ต สายการบินร่วมทุนราคาประหยัด ระหว่างสายการบินนกแอร์ของผู้ประกอบการชาวไทย และสายการบินสกู๊ต จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2014 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการประกอบการธุรกิจการบิน ท่ามกลางความท้าทายในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงข้อจำกัดในการขยายเครือข่ายการบิน ภายใต้สภาพแวดล้อมการแข่งขันที่รุนแรง ขณะที่การระบาดของ COVID-19 ผลักให้สถานการณ์ของ นกสกู๊ต เลวร้ายลงอย่างรุนแรง จนไม่อาจเห็นหนทางสู่การฟื้นตัวและการเติบโตที่ยั่งยืนของสายการบินได้อีก และต้องยุติกิจการพร้อมกับชดเชยการเลิกจ้างพนักงานตามกฎหมายต่อไป ผลพวงของการแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งส่งผลให้มีการปิดท่าอากาศยานและระงับการเดินทางเพื่อควบคุมโรคในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีการประเมินรายได้ธุรกิจการบินสัญชาติไทยในปี 2020 ว่ามีแนวโน้มหดตัวติดลบที่ร้อยละ -60 (YoY) มาอยู่ที่ประมาณ 1.21 แสนล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานการฟื้นตัวในธุรกิจสายการบินอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบ U-Shape ซึ่งทำให้สายการบินต้องลดค่าใช้จ่าย ลดจำนวนเครื่องบิน และในบางรายอาจได้รับผลกระทบถึงขั้นปิดกิจการ ทั้งนี้ประมาณการที่น่าสนใจอยู่ที่รายได้ธุรกิจการบินสัญชาติไทยจากเส้นทางระหว่างประเทศจะหดตัวติดลบถึงร้อยละ -65 (YoY)

Read More