วันอาทิตย์, เมษายน 28, 2024
Home > PR News > 5 โบรกเกอร์ ประสานเสียง หุ้น IPO ป้ายแดง “GFC” โดดเด่น น่าจับตา

5 โบรกเกอร์ ประสานเสียง หุ้น IPO ป้ายแดง “GFC” โดดเด่น น่าจับตา

5 โบรกเกอร์ ประสานเสียง หุ้น IPO ป้ายแดง “GFC” โดดเด่น น่าจับตา ส่งสัญญาณเชิงบวก เคาะราคาเป้าหมาย 9 – 11.30 บาทต่อหุ้น

5 โบรกเกอร์ (บล.บียอนด์ – บล.โกลเบล็ก – บล.ฟินันเซีย ไซรัส – บล.กรุงศรี พัฒนสิน -บล.ดาโอ) ประสานเสียง เชียร์ลงทุนหุ้นน้องใหม่ IPO “GFC” หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีบุตรยากรายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเคาะราคาเป้าหมายหุ้น ป้ายแดง ที่กรอบราคา 9 – 11.30 บาทต่อหุ้น พร้อมระบุเปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี” หนุนผลงานปี 67 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) “GFC” ไว้ที่ระดับราคา 11.3 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E ปี 2567 ที่ 28 เท่า พร้อมมองทิศทางการเติบโตทางธุรกิจ GFC ว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตในปี 2566 -2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 21.3% พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอัตรากำไรสุทธิของ GFC จะเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2566 เป็น 21% ในปี 2568 อย่างไรก็ตามจากการขยายสาขาใหม่ “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี”ซึ่งเป็นการรองรับการให้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะผลักดันการเติบโตของ GFC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินราคาเหมาะสม “GFC” ในปี 2567 ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่า รายได้จากการดำเนินงานของ GFC ในช่วงปี 2566-2567 จะอยู่ที่ระดับ 312 ล้านบาท และ 479 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 32% ต่อปี จากปัจจัยสนับสนุน คือ 1) คลินิกสาขาเดิมพระราม 3 เติบโตตามแนวโน้มจำนวนคนไข้ที่เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี และ 2) การขยายคลินิก สาขาใหม่ 2 แห่ง คือ คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี บนสมมติฐาน %GPM คาดที่ระดับ 43.8% และ 45.6% ตามลำดับ (ปี 2565 อยู่ที่ระดับ 47.1%) ลดลงจากค่าเสื่อมราคาของอาคารใหม่ (คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9) ขณะที่ %SG&A/Sales คาดที่ระดับ 21% และ 22.9% ตามลำดับ (ปี 2565 อยู่ที่ระดับ 17.3%) เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการนำหุ้นเข้าตลาดฯ และปี 2567 มีค่าใช้จ่ายปรับลดลง หลังจากนำเงินเพิ่มทุนไปจ่ายชำระคืนสถาบันการเงิน ส่งผลให้เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 – 2567 ที่ 49 ล้านบาท ลดลง 25%YoY และ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% YoY ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 12% ต่อปี

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ GFC ปี 2024 ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดยคาดการณ์การเติบโตของ GFC ในปี 2023 คาดมีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท ลดลง 20% (y-y) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนบุคลากรและพนักงานรองรับการเปิดสาขาพระราม 9 ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 18% (y-y) และค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น 38% (y-y) เพิ่มขึ้นกว่ารายได้ 13% (y-y)

รวมทั้งคาดการณ์ว่ามี %Gross margin 45% ส่วนปี 2024-2025 คาดกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท และ 91 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี 32% CAGR จากปัจจัยสนับสนุน 1) รายได้เติบโตต่อปีเพิ่มขึ้น 24%CAGR จากการเปิด 2 สาขาใหม่ ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 2) ปี 2025 เริ่มเห็นผลบวก Economies of scale ของผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มี %Gross margin ที่ 45.9% ดีขึ้นจากปี 2024 และ 3) ค่าใช้จ่ายการเงินลดลงตามเงินกู้สถาบันการเงินลดลงในปี 2024 -2025

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเหมาะสม 10 บาท ( บน EPS 0.39 บาท ปี 2024) ด้วยวิธีเปรียบเทียบ Relative PE ของปี 2024 กับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีคลินิก IVF เกือบทุกแห่ง และบริษัทต่างประเทศที่ทำคลินิก IVF ซึ่ง เทรด P/E ปี 2024 ทีี่ระดับ 20.5-25.5 เท่า แม้ GFC เป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่หากเทียบอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ GFC ปี 2024 ที่ 45% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-15% ของหุ้นกลุ่ม ดังนั้นราคาเหมาะสมควรใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงพยาบาลของไทยที่ระดับ P/E 25.5 เท่า พร้อมทั้งได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 ของ GFC เติบโต 45% จากการเปิดคลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคาดว่าบริษัทจะยังคงศักยภาพในการเติบโตในปี 2023 – 2024 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย หนุนหลักมาจากการเปิดคลินิกสาขาใหม่ในไตรมาส 4/2566 และสาขาอุบลราชธานี ในไตรมาส 1/2567 รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรายได้บริการตรวจโคโมโซม และฝากไข่เพิ่มมากขึ้นหลังมีขยาย LAB เพิ่มขึ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเหมาะสมที่ 9 บาทต่อหุ้น อิง 2024E PER ที่ี 25 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม รพ. เนื่องจากการรักษาภาวะมีบุตรยาก มีความซับซ้อนและต้องการความใส่ใจมากกว่าการรักษาโรคทั่วไป รวมถึงมีอัตราในการทำกำไรมากกว่ารพ.ทั้วไป ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินกำไรปี 2023-2024 อยู่ที่ 51 ล้านบาท ลดลง 22% (YoY) และ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% (YoY) จากรายได้ปี 2023 -2024 เติบโตเพิ่มขึ้น 15% และ 37% (YoY) จากปัญหาของสุขภาพของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่มีความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนคนไข้เข้ารับการรักษามากขึ้นในขณะที่รายได้เติบโตแต่ในปี 2023 กำไรถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายของพนักงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจากการเตรียมตัวขยายสาขาในช่วงปลายปี 2023 และเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไรจะกลับมาเติบโตในปี 2024 จากการขยายฐานคนไข้ทั้งในกรุงเทพฯ และอุบลราชธานี ที่สามารถรองรับทั้งคนไข้ในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ จีน, อินเดีย, ยุโรป, ลาว และกัมพูชา ได้มากขึ้น