Home > Life (Page 41)

เมืองงอย Simply Beautiful สวรรค์บนดินริมแม่น้ำอู

ลาว...ดินแดนแห่งสายน้ำและทิวเขา แม่น้ำหลายสายของลาวเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงคนในชาติโดยธรรมชาติของมันเองและยังคงเป็นเส้นเลือดทางเศรษฐกิจที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวนำรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่ง การล่องเรือชมความงามของสองฝั่งแม่น้ำถือเป็นกิจกรรมที่อยู่ในลำดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวเกือบทุกคนไม่ยอมพลาดเมื่อมาเยือนเมืองลาว และถือเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นจุดขายของ สปป.ลาว เลยก็ว่าได้ จุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้คือ “เมืองงอย” เมืองเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของลาวเหนือ ถ้าการล่องเรือแม่น้ำโขงคือเสน่ห์ของเมืองหลวงพระบาง และการนั่งปล่อยอารมณ์ชมทัศนียภาพริมแม่น้ำซองเป็นความงามของเมืองวังเวียง การได้เสพความงามของธรรมชาติริมฝั่ง “แม่น้ำอู” เส้นเลือดใหญ่ของเมืองงอยก็ถือเป็นสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน เราตั้งต้นที่เมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน ก่อนเดินทางโดยรถบัสจากซำเหนือมายังเมืองหนองเขียวและแวะพักที่หนองเขียวก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองงอย รถออกจากซำเหนือราวๆ 08.30 น. มาถึงหนองเขียวเกือบสามทุ่ม รวมเวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง โดยรถคันดังกล่าวต้องเดินทางต่อไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นปลายทาง ใช้เวลาอีกราวๆ 12 ชั่วโมงเช่นกัน เรียกว่าวิ่งกันเป็นวันเลยทีเดียว การเดินทางโดยทางรถในลาวใช้เวลานาน เพราะถนนหนทางตัดเลียบเลาะไปตามเทือกเขา ทำความเร็วได้ไม่มากนัก รถทุกรอบทุกคันแน่นขนัดด้วยจำนวนผู้โดยสารและสัมภาระ การเดินทางมายังเมืองหนองเขียวก็เช่นกัน ผู้โดยสารและข้าวของเต็มรถ ที่นั่งไม่สบายนักแต่กลับไม่มีเสียงบ่นของคนบนรถ ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวนั่งเบียดๆ กันไป ที่ไหนพอจะนั่งได้ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นความเอื้ออาทรที่เห็นได้น้อยเต็มทีในสังคมเมือง หนองเขียว ชุมทาง Backpacker เมืองหนองเขียว หรือเมืองงอยใหม่ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมน้ำอู แม่น้ำใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศลาว จุดเด่นของเมืองหนองเขียวคือเป็นทั้งชุมทางรถ ชุมทางเรือ และชุมทางของเหล่า Backpackerหนองเขียวอยู่ห่างจากหลวงพระบางเมืองมรดกโลกและแหล่งท่องเที่ยวทอปฮิตเพียง 150 กิโลเมตร

Read More

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ถ้ำผู้นำ เมืองเวียงไซย

นอกจากความงดงามของธรรมชาติที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนแขวงหัวพัน แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวยอมเดินทางเป็นระยะทางไกลเพื่อมายังแขวงหัวพัน คือ อนุสรณ์สถาน “ถ้ำท่านผู้นำ” เมืองเวียงไซย สถานที่ที่มีร่องรอยของเรื่องราวในประวัติศาสตร์สมัยสงครามอินโดจีน ที่ยังหลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวเองด้วยธรรมชาติที่งดงามของเมืองซำเหนือ แขวงหัวพันแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ “เมืองเวียงไซย (Vieng Xia)” เมืองเล็กๆ ที่อยู่ในแขวงหัวพัน อดีตศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพปลดปล่อยประเทศลาว เมืองเวียงไซย อยู่ห่างจากซำเหนือซึ่งเป็นเมืองเอกของแขวงหัวพันเพียง 30 กิโลเมตร มีรถสองแถวขนาดเล็กวิ่งรับส่งจากซำเหนือไปเวียงไซยวันละหนึ่งรอบในตอนเช้า ถึงแม้จะเป็นรถประจำเส้นทางแต่ก็ไม่ได้วิ่งทุกวันขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร เพราะความที่เมืองเวียงไซยอยู่ไม่ไกลจากซำเหนือ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้พาหนะส่วนตัวและรถอีแต๋นเอาเสียมากกว่า อีกทางหนึ่งคือเช่ารถสองแถวที่วิ่งบริการในเมืองซำเหนือ คล้ายกับรถแท็กซี่จะแชร์ค่าโดยสารกับคนอื่นหรือจะเหมาทั้งคันก็ได้ รถสองแถวลักษณะนี้มีอยู่เยอะ ตกลงนัดแนะเวลาและเจรจาค่าโดยสารได้กับคนขับโดยตรง มีทั้งแบบเหมาทั้งคันเพื่อไปส่งที่เวียงไซยอย่างเดียว แบบนำเที่ยวด้วย หรือจะพาไปส่งและรอรับกลับ สนนราคาแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ได้แพงจนเกินไปนัก นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวเมืองเวียงไซยแบบเช้าไปเย็นกลับ การเลือกใช้บริการเหมารถสองแถวถือว่าสะดวกทีเดียว แต่มีอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวผมทองคือการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับไปเอง ขับรถขึ้นเขาได้สัมผัสธรรมชาติแบบไม่มีอะไรปิดกั้น แต่ด้วยความที่เส้นทางจากซำเหนือไปยังเมืองเวียงไซยยังคงเป็นถนนที่ตัดเลียบเลาะเทือกเขา ดังนั้นความชำนาญในการขับขี่และคำนึงถึงความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อการเดินทางจะได้ไม่หยุดชะงัก จากซำเหนือเราใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงเมืองเวียงไซย ซึ่งตลอดเส้นทางยังคงเป็นป่าเขาและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์งดงามอันเป็นเสน่ห์ของแขวงหัวพัน เมืองเวียงไซย เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล แต่ถือเป็นเมืองที่เป็นหัวใจของการท่องเที่ยวของแขวงหัวพัน เพราะเป็นเมืองที่มีลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงาม ป่าไม้เขียวขจี ทุ่งนายาวเหยียดที่ทอดไปตามแนวภูผา ภูเขาหินปูนที่ตั้งเรียงรายเสมือนหนึ่งเป็นกำแพงทางธรรมชาติที่โอบล้อมเมืองทั้งเมืองไว้ มีบึงขนาดใหญ่อยู่กลางเมือง และเป็นเมืองที่มีอากาศเย็นสบายตลอดปีแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม ถ้ำผู้นำ แม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวแห่งเมืองเวียงไซย สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเมืองเวียงไซยไม่ได้มีเฉพาะธรรมชาติที่งดงามเท่านั้น

Read More

ยลธรรมชาติกลางขุนเขา จากเชียงขวางสู่หัวพัน

เสียงเพลงลาวที่บรรยายถึงความงดงามของธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ของแขวงหัวพัน ดังแว่วอยู่ในรถโดยสารระหว่างเมืองที่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน ภาษาที่ตรงไปตรงมา บวกกับท่วงทำนองของเครื่องดนตรีที่ดูเรียบง่าย ผสานกับทิวทัศน์สองข้างทาง ทำให้เราอิ่มเอมไปกับความงดงามของแขวงหัวพัน แม้จะยังเดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ตามจากนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว ศูนย์กลางความเจริญ และจุดตั้งต้นสำหรับการเดินทางต่อไปยังเมืองต่างๆ ของลาว เรามุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศตามรอยเส้นทางยุทธศาสตร์สมัยสงครามอินโดจีน ผ่านเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ก่อนเข้าสู่แขวงหัวพัน ระยะทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยังแขวงหัวพันราวๆ 640 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยทางรถเกือบ 22 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลามาตรฐานสำหรับการเดินทางโดยทางรถในลาว ดังนั้นเราเลือกจึงเลือกแวะพักเก็บบรรยากาศตามเมืองต่างๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และทอนเวลาการเดินทางไม่ให้แต่ละครั้งยาวนานเกินไป จากเวียงจันทน์เราแวะพักที่เมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง อดีตเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักช่วงสงครามอินโดจีน เมืองที่มีประวัติศาสตร์และร่องรอยของสงครามให้เราได้เห็นจนถึงทุกวันนี้ต่อจากเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง เราเดินทางด้วยรถโดยสารระหว่างเมืองจากสถานีขนส่งของแขวงเชียงขวาง สปป.ลาว เพื่อเดินทางไปยังเมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน การเดินทางด้วยวิธีนี้ ดูจะเป็นวิธีการเดินทางหลักของทั้งชาวลาวและนักท่องเที่ยว ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้โดยสารที่อัดแน่นกันอยู่ภายในรถที่มีทั้งชาวลาว ชาวเขา และนักท่องเที่ยว ไม่เพียงแต่จำนวนผู้โดยสารที่เต็มทุกที่นั่งของรถเท่านั้น แต่ปริมาณและขนาดของสัมภาระที่แต่ละคนนำมามีปริมาณมากจนเราไม่เชื่อว่าทั้งหมดนั้นจะสามารถเดินทางไปพร้อมเจ้าของได้สัมภาระทั้งหมดถูกจัดวางไว้ทุกซอกมุมของทั้งในตัวรถและบนหลังคา และทุกที่ที่พอจะวางได้ เป็นการจัดสรรพื้นที่ได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ ด้วยความที่เมืองโพนสะหวันเป็นเมืองใหญ่ มีตลาดขนาดใหญ่ บรรดาชาวบ้านต่างเมืองจึงนิยมมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่เมืองนี้ ไปใช้และขายต่อในหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป จึงไม่แปลกที่รถโดยสารจะอัดแน่นด้วยสัมภาระเหล่านั้นรถโดยสารระหว่างเมืองดูจะเป็นที่นิยมของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว สำหรับคนท้องถิ่นมันคือการเดินทางที่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก สำหรับนักท่องเที่ยวมันคือการได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านและเสพความงามของธรรมชาติด้วยต้นทุนที่ถูกแสนถูก

Read More

เยือนถิ่นเมืองลาว ในท่ามกลางจินตนาการ AEC

เทศกาลสงกรานต์ใกล้เข้ามา หลายคนเตรียมตัวสนุกกับการสาดน้ำดับร้อน หลายคนวางแผนเดินทางท่องเที่ยว เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ชีวิตให้กับตัวเองในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง หลากหลายสถานที่ท่องเที่ยวคงผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกให้กับผู้ที่แสวงหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ วันนี้เราจะขอนำเสนออีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะกับการเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง กับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับไทย อย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น...Battery of Asiaการเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศลาวสำหรับคนไทยแล้วถือว่าสะดวกเพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ห่างกันแค่ลำน้ำโขงกั้นกลางเท่านั้น และมีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ ด้านทั้งภาษา วัฒนธรรม แต่ในความคล้ายกันนั้นก็มีความต่างซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์และเป็นเสน่ห์เฉพาะของลาว ภายใต้ความสะดวกในการเดินทางเข้าไปเยี่ยมเยือนประเทศเพื่อนบ้านนั้น เราต้องให้ความเคารพต่อระเบียบ กฎหมาย วัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาวลาว สิ่งใดที่เป็นข้อห้ามไม่พึงกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายเวลาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ มารยาทที่ไม่ควรกระทำ ข้อห้ามในการถ่ายภาพในสถานที่บางแห่ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวพึงตระหนัก เพื่อไม่ทำผิดต่อกฎระเบียบของบ้านเมืองที่เราไปเยือน เพราะหากทำในสิ่งที่ไม่พึงกระทำแล้ว การต้องแก้ปัญหาขณะเดินทางท่องเที่ยวคงไม่ใช่เรื่องสนุกเป็นแน่สำหรับจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้คือ “นครเวียงจันทน์” เมืองหลวงแห่งประเทศลาว ซึ่งการเดินทางไปยังนครเวียงจันทน์นั้นสามารถเลือกเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบประหยัดเวลาแต่ความสะดวกสบายสูงอย่างเครื่องบินซึ่งมีหลายสายการบินให้เลือกใช้บริการ หรือถ้าอยากจะขับรถไปเองก็สามารถทำได้ อีกทั้งยังสามารถใช้บริการการรถไฟไทยเส้นทาง กรุงเทพฯ–หนองคาย แล้วข้ามไปยังฝั่งลาวด้วยรถไฟระหว่างประเทศ หนองคาย-ท่านาแล้ง ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีจากฝั่งไทย ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่ง อีกหนึ่งวิธีการเดินทางที่เราอยากแนะนำคือ รถทัวร์ เส้นทางกรุงเทพฯ–เวียงจันทน์ ของบริษัท ขนส่ง จำกัด

Read More

จากวันครูสู่การพัฒนาการเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา

 ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าสังคมไทยจะให้ความสำคัญกับอนาคตผ่านกิจกรรมวันเด็ก และการวางรากฐานสู่ความสำเร็จผ่านกิจกรรมวันครู ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันนี้ยังมีการประชุมสัมมนาทางวิชาการ ภายใต้ชื่อ “การพัฒนาการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 (The 1st Thailand Constructionism Symposium 2013)” ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับมูลนิธิศึกษาพัฒน์ มูลนิธิไทยคม และภาคเอกชน และมีพิธีเปิดงานที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันอังคารที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมาหรือก่อนหน้าวันครูเพียง 1 วัน และมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ETV) อีกด้วย สาระสำคัญของการประชุมสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ ในด้านหนึ่งนอกจากเป็นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สรุปการเรียนรู้ และเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ของคนไทย ด้วยการประยุกต์ใช้ทฤษฎี Constructionism ในบริบทต่างๆ แล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นประหนึ่งการเน้นย้ำให้เห็นถึงทิศทางและการให้ความสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้  ทั้งในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในภาคการศึกษา การพัฒนาชุมชนในเขตพื้นที่ห่างไกล และการพัฒนาศักยภาพของพนักงานที่อยู่ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ภายใต้โครงการประภาคารปัญญา หรือ The Lighthouse Project ของมูลนิธิศึกษาพัฒน์ ที่ร่วมงานกับคณาจารย์จาก Massachusetts

Read More

Let it Go, Let it Flow @ ลอยละล่อง

 “อย่างเดียวที่สะท้อนตัวตนของผมกับแฟนคือ ชื่อโรงแรม ตอนนั้นเรากำลังโหยหาอิสรภาพมาก เราอยู่ใน “กรง” มาตลอด แล้ววันหนึ่งที่หลุดออกมา เราก็คงอยากลอยไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ เปรียบเหมือนชีวิตที่ไหลขึ้นลงไปกับน้ำ ไหลไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ แต่ไหลไปอย่างมีความสุข"คำบอกเล่าจากเจ้าของโรงแรมที่มีชื่อว่า “ลอยละล่อง” ซึ่งนอกจากบ่งบอกโลเกชั่นของโรงแรมที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อนี้ยังสะท้อนสิ่งที่หนุ่มใหญ่วัย 42 ปีคนนี้แสวงหามาตลอดชีวิต ที่ผ่านมาสราวุธ ศาสนนันทน์ เป็นอดีตครีเอทีฟในบริษัทเอเจนซี โฆษณาที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ในช่วงชีวิตการทำงานในวงการโฆษณาร่วม 20 ปี เขาฝากผลงานมาแล้วหลาย ร้อยชิ้นงาน เช่น เซ็นทรัลชุด “หนูผี”, สปอนเซอร์, ไวไวควิก, เคาน์เตอร์เซอร์วิส และหม่ำวอยซ์ เป็นต้นขณะที่เรือด่วนเจ้าพระยามุ่งหน้าสู่สาทรได้ขับพ้นท่าเรือ ราชวงศ์ไปได้สักพัก ผู้โดยสารที่ชีวิตไม่เร่งรีบและจดจ่อกับการ เดินทางจนเกินไป หลายคนที่เงยหน้าขึ้นมามองทิวทัศน์สองฝั่งน้ำจะได้ชื่นชมกับภาพเจดีย์จีนทรงแปลกตางดงาม นั่นคือที่ตั้งของสมาคมเผยแผ่คุณธรรม “เต็กก่า จีจินเกาะ”วิวฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านไม้สองชั้นอายุ 30 ปี ลอยปริ่มอยู่ เหนือแม่น้ำเจ้าพระยา คือ “ลอยละล่อง” โรงแรมขนาด 7 ห้องพัก บนพื้นที่ที่เคยเป็นโรงงานน้ำปลา คลังสินค้า และท่าเรือทรงวาด ซึ่งอยู่ภายในรั้วของวัดปทุมคงคา ถนนทรงวาดเพราะมีบ้านอยู่ริมน้ำแถวบางลำพู ออฟฟิศอยู่ราชประสงค์ สราวุธชอบเดินทางด้วยเรือด่วน และทุกครั้งที่เห็นบ้านไม้หลังนี้ เขารู้สึกหลงใหล กระทั่งเจ้าของบ้านติดประกาศ ให้เช่า เขาจดเบอร์ไว้ แต่ก็นานกว่าที่จะได้โทรหา“วันที่มาดูบ้านเป็นวันอาทิตย์

Read More

เทศกาล “กินของเน่า” ยิ่งเน่า ยิ่งนัว

 หากร้านอาหารแห่งนี้เสิร์ฟ “แกงเขียวหวาน พริกแกงซากกุ้งเน่า” พร้อมขนมจีนน้ำยาป่าที่น้ำของปลานั้นเน่าค้างปี และน้ำพริกอ่องทำจากแผ่นถั่วรวมแบคทีเรีย ตบท้ายด้วยของหวานเป็นขนมถ้วยฟูที่มีส่วนผสมของจุลินทรีย์ญาติเชื้อรา คุณจะ...ลุกหนีหรือลุยต่อ!!!คุณกิน “ของเน่า”!!! คุณนั่นแหละกินของเน่า ยิ่งเน่าก็ยิ่งอร่อย ยิ่งเน่าก็ยิ่งกิน และคุณกินของเน่าเข้าไปแล้ว ...นี่คือประโยคทักทายแรกที่ผู้ชมจะได้พบทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องนิทรรศการ “กินของเน่า” ภาพที่เห็นคือบรรยากาศร้านอาหารหรูย่านทองหล่อแทนที่ชั้นวางโหลใส่เส้นพาสต้าสีสันสวยงามตามร้านอาหารอิตาเลียน แต่ร้านจำลองแห่งนี้เลือกที่จะจัดโชว์โหลปลาเน่าปลาหมักที่มีทั้งแบบเป็นต่อนและไม่เห็นตัวปลา สีสันตุ่นๆ กลิ่นก็ฉุนแรง ซึ่งล้วนแล้วแต่คัดมาจาก ไหปลาร้านานาประเทศในประชาคมอาเซียนปลาร้าเขมรเรียก “ปราฮ็อก” ฟิลิปปินส์เรียก “บากุง” เวียดนามเรียกว่า “มาม” มาเลเซียเรียก “เปกาซัม” หรือ “เบลาคัน” ขณะที่อินโดนีเซียเรียก “บากาแช็ง” พม่าเรียก “งาปิ๊” ส่วนลาวและอีสานบ้านเราเอิ้น “ปลาแดก”ว่ากันว่าปลาร้าไหแรกที่มีหลักฐานความเก่าแก่ที่สุดในประเทศใน “ประชาคมปลาร้า” ในภูมิภาคนี้มีอายุราว 2,500 ปี พบในหลุมศพ นี่เป็นพยานยืนยันว่าการกินปลาร้าเป็นวัฒนธรรมที่ถูกสืบสานตกทอดกันมายาวนานแต่ไม่ใช่แค่ดินแดนสุวรรณภูมิ ปลาร้ายังเกิดขึ้นในส่วนอื่นของโลก ด้วยเหตุที่มนุษยชาติ เพิ่งมีตู้เย็นใช้เมื่อไม่นาน แต่ผักปลาก็ไม่ได้มีสมบูรณ์ในทุกฤดูกาล คนรุ่นก่อนจึงจำเป็นต้อง หาวิธีถนอมอาหารไว้กินยามขาดแคลน โดยใช้สิ่งที่มีอยู่รอบตัว อย่างเกลือและข้าวในการหมักปลาเพื่อยืดอายุของปลา แต่ผลพลอยได้คือรสชาติก่อนจะไปชมส่วนอื่น เจ้าหน้าที่ประจำนิทรรศการในชุดพนักงานเสิร์ฟสีดำทำหน้าที่เชิญผู้ชมเข้านั่งที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับยื่นเมนูบุฟเฟต์อร่อยไม่อั้นแบบ “เน่าๆ” ประกอบด้วย 4 รายการอาหารของเน่าที่เอ่ยมาข้างต้นไม่ว่าจะเต็มใจเลือกหรือไม่ ทันทีที่บริกรรับออร์เดอร์ เพียงไม่นาน “เชฟชาคริต แย้มนาม” ก็ออกมาพูดถึงวิธีปรุงเมนูดังกล่าวพร้อมอธิบายว่าทำไมอาหารทั้ง 4 เมนูจึงถูกเรียกว่าเป็น “ของเน่า” ผ่านจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ยกตัวอย่างเมนูแกงเขียวหวาน เพราะแกงเขียวหวานมีส่วนผสมของพริกแกงและกะปิ ซึ่งกะปิเกิดจากการหมักซากเคย (กุ้งตัวเล็ก) กับเกลือ โดยเกลือจะทำหน้าที่คัดกรองเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการออก เพราะจุลินทรีย์เชื้อร้ายจำนวนมากจะไม่ทนต่อเกลือ จากนั้นก็คัดกรอง “เชื้อร้าย” อีกครั้งด้วยการตากแดด  ผ่านการคัดกรองสองชั้น จุลินทรีย์ที่เหลือรอดส่วนใหญ่ ซึ่งเป็น “เชื้อดี” จะทำหน้าที่ปราบ “เชื้อร้าย” ที่หลงเหลืออยู่ อันเป็นการยืดอายุให้อาหาร โดยหากยิ่งทิ้งไว้นาน เอนไซม์ในเคยและจุลินทรีย์ที่เหลือรอดจะช่วยทำหน้าที่ปรุงรสให้กะปิหอมและอร่อยยิ่งขึ้นขณะที่ “กะปิ” เป็นตัวแทน “ของเน่าพลิกโลก” จากภาคใต้ ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องแกงและน้ำพริกหลากหลายชนิด ภาคเหนือก็มี “ถั่วเน่า” ที่เป็นเครื่องปรุง รสชาติที่กลายเป็นอัตลักษณ์ของอาหารพื้นเมืองภาคเหนือ ส่วนภาคอีสานก็มี “น้ำปลาร้า” เป็นน้ำทิพย์ชูรสในแทบทุกเมนูอาหารพื้นบ้านทั้งวัตถุดิบและวิธีการในการทำกะปิ

Read More

สามอารมณ์ทดสอบ new BMW 320d

ฟ้ากว้าง ทางสวยที่เต็มไปด้วยเนินถนนสูงต่ำ ระหว่างเส้นทางตรัง-กระบี่ เหมาะสมกับการทดสอบรถสปอร์ตซีดาน the all-new BMW 320d สีแดงเพลิงคันใหม่หรูปราดเปรียวและโฉบเฉี่ยว เพียงเสียงสตาร์ทก็บ่งบอกเครื่องพลังทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 4 สูบ วิ่งไปราวชั่วโมงถึงที่หมาย รถคันนี้กินน้ำมันดีเซลเพียง 22.7 กม.ต่อลิตรเท่านั้น ระดับการปล่อยของเสียคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาตรฐาน EU คือเฉลี่ยเพียง 117 กรัม/กิโลเมตร ความมั่นใจจากเครื่องยนต์ที่โดดเด่น เทคโนโลยี Twin Power Turbo 4 สูบ เร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่งทันใจพุ่งจาก 0-100 กม/ชม.ใน 7.6 วินาที และสามารถเปลี่ยนระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดได้ฉับไว ถือเป็นค่ายรถยนต์แรก ที่ติดตั้งไว้ในรถพรีเมียมระดับกลาง เมื่อนึกอยากจะเปลี่ยนโหมดขับแบบสปอร์ตก็แค่ตบเปลี่ยนเกียร์ในระยะสั้นๆ ทำให้การขับรถคันนี้เร้าใจและนิ่มนวลตามใจต้องการ รูปลักษณ์ภายนอกของ the all-new BMW 320d ตัวถังกว้างกว่าเดิมประมาณ +93

Read More

100 ปี “ไททานิค” มากกว่าเรื่องเรือล่ม

เรื่องราวของผู้โดยสาร 11 คน ต่างที่มาต่างจุดประสงค์ แต่เดินทางสู่จุดหมายเดียวกัน ทว่ากลับมีจุดจบบนเรือโดยสารลำเดียวกัน นี่คือเรื่องสั้นที่ชื่อ “หลายชีวิต” แต่สำหรับผู้โดยสารกว่า 1,500 ชีวิตที่จบชีวิตในเรือ “ไททานิค” นี่คือประวัติศาสตร์และโศกนาฏกรรมของโลก ที่ยังมีเรื่องราวของหลายชีวิตให้ค้นหา เมื่อ 15 ปีก่อนผู้คนทั่วโลกเริ่มรู้จักเรื่องราวของผู้โดยสาร บางส่วนบนเรือ “ไททานิค” ผ่านภาพยนตร์ของผู้กำกับ James F. Cameron ซึ่งถ่ายทอดหายนะของเรือลำใหญ่ที่ได้ชื่อว่า เป็น สิ่งก่อสร้างเคลื่อนที่ได้ที่มีขนาดใหญ่สุดของโลกแห่งศตวรรษที่ 20 ภาพ Leonardo DiCaprio ในบทบาทของแจ๊ค ผู้โดยสารชั้น 3 กับ Kate Winslet ผู้สวมบทโรส สาวตระกูลผู้ดีอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้โดย สารชั้น 1 ที่ยืนกางแขนที่หัวเรือไททานิค และบทพูดของแจ๊คที่ยัง ประทับใจใครหลายคน “You jump, I jump” ยังเป็นฉากแห่ง

Read More

Dine in the Dark ลองตาบอดกันสักมื้อ

สำหรับคนตาดี ความมืดนั้นมักจะมืดกว่าที่เคยคาด แต่สำหรับคนตาบอด ความมืดนั้นหาได้มืดอย่างที่ใครคิด สำหรับคนตาดี ความมืดอาจทำให้รู้สึกกลัว แต่สำหรับคนตาบอด ความมืดนั้นมีความงาม ถ้าจะให้คนตาดีเข้าใจคนตาบอดอาจมีเพียงทางเดียวคือต้องลองให้พวกเขาตาบอดดูสักครั้ง “อยากบอกคนทั่วไปว่า คนตาบอด ก็คือคนคนหนึ่ง เรายังปกติดีอยู่ เราแค่มองไม่เห็น เราไม่ต้องการให้ปฏิบัติกับเราจนพิเศษมากเกินไป แค่ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่เราขาดหาย แค่ช่วยเป็นตาแทนเราในบางเวลา ไม่ต้องมาทำเหมือนเราทำอะไรเองไม่ได้” ไกด์น้องกล่าว “น้อง” อายุ 32 ปี เธอเคยเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารแห่งหนึ่ง ก่อนจะมารับหน้าที่เป็นบริกรประจำร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Dine in the Dark ซึ่งเป็นร้านอาหารภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “ดินเนอร์ในความมืดมิด” ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Dine in the Dark หรือ DID เป็นร้านอาหารที่ขายคอนเซ็ปต์การทานอาหารภายใต้ “โลกมืด” ราว คนตาบอด และมีบริกรเป็นคนตาบอดคอยให้บริการ โดย มร.เบนจามิน บาสกิ้นส์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการประจำร้านนี้ อธิบายว่าคอนเซ็ปต์นี้ได้รับความนิยม มานานกว่า 10

Read More