Home > รัสเซีย

ฟุตบอลโลก 2018 เงินสะพัดในความเงียบ?

แม้ว่ากระแสฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียจะเพิ่งจุดติด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกปล่อยให้ดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ตื่นตัวคึกคักมากนัก แต่ดูเหมือนว่าสำนักวิจัยและพยากรณ์ทางเศรษฐกิจแทบทุกสำนักต่างเชื่อมั่นว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้จะส่งผ่านปัจจัยบวกให้เศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์ในระดับหลายหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกจะกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อกิจกรรมและเชิงพาณิชย์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อการซื้อเสื้อผ้า ของที่ระลึกเพื่อการเชียร์บอล งบถ่ายทอดสด งบประชาสัมพันธ์สนับสนุนการถ่ายทอด ซึ่งการเฝ้าชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันอาจส่งผลต่อการซื้อโทรทัศน์ อาหาร/เครื่องดื่ม และการบริโภคอาหารที่ร้านอาหารนอกบ้านด้วย ข้อมูลตัวเลขอ้างอิงจากพฤติกรรมของการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อครั้งที่ผ่านมา คาดว่าในปีนี้จะมีเงินสะพัดทางธุรกิจในระดับ 2 หมื่นล้านบาท และการใช้จ่ายนอกระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพนันฟุตบอลอีกประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 0.2-0.3 เท่านั้น ประเด็นที่น่าสนใจก็คือวงเงินที่แพร่สะพัดอยู่ในกิจกรรมพนันฟุตบอลที่มูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทตามการประเมินนี้ อาจสร้างกำลังซื้อชั่วขณะได้ในระดับหนึ่ง หากผู้ที่ชนะพนันนำเงินนอกระบบนี้มาบริโภคหรือจับจ่ายที่อาจกระตุ้นการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจภายในได้บ้าง หากแต่การพนันฟุตบอลส่วนใหญ่ในปัจจุบันกระทำกันผ่านระบบออนไลน์ไปยังเจ้ามือหรือร้านรับแทงพนันในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะยากต่อการควบคุมแล้ว กรณีดังกล่าวยังเป็นช่องทางให้เงินไหลออก ที่เป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าในช่วงฟุตบอลโลกจะมีเงินสะพัดในระดับ 6-7 พันล้านบาทกระจายเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภค ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5 จากช่วงเวลาปกติของมูลค่าตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยสินค้าและธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้อยู่ที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจฟาสต์ฟู้ดเดลิเวอรี่ อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า และรองเท้า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะโทรทัศน์ดูจะเป็นธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกโดยตรงมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เพราะผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์สินค้าต่างโหมประโคมกิจกรรมและรณรงค์ส่งเสริมการตลาด ทั้งลด แลก แจก แถม

Read More

ฤๅกำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ?

  ข่าวการลอบสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำตุรกีอย่างอุกอาจ ขณะกำลังกล่าวสุนทรพจน์เปิดนิทรรศการศิลปะ “รัสเซียในมุมมองของชาวเติร์ก” (Russia as seen by Turks) ภายในหอศิลป์กลางกรุงอังการา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงเหตุรถบรรทุกพุ่งเข้าชนตลาดคริสต์มาสกลางกรุงเบอร์ลิน กำลังส่งสัญญาณและสร้างความหวั่นวิตกในระดับนานาชาติอย่างกว้างขวาง เพราะในขณะที่รัฐบาลรัสเซียและตุรกี พยายามเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้เป็นปกติอีกครั้งหลังจากที่ทั้งสองประเทศมีเหตุบาดหมางกัน จากกรณีที่ตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตกใกล้พรมแดนซีเรีย เมื่อปีที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้รัสเซียออกมาตรการคว่ำบาตรและกดดันตุรกีหลากหลาย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจเป็นการตอบโต้ เหตุการณ์ยิงสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังการประท้วงใหญ่ในตุรกี ซึ่งผู้ประท้วงคัดค้านการที่รัสเซียเข้าแทรกแซงในซีเรียด้วย ทำให้ผู้นำของทั้งตุรกีและรัสเซียต้องออกมาแถลงยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความพยายามที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยต่างระบุว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นความจงใจที่จะยั่วยุและทำลายให้เกิดความร้าวฉานระหว่างรัสเซียและตุรกี ซึ่งความพยายามที่ว่านี้จะไม่มีวันสำเร็จ ขณะที่ Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย แถลงผ่านโทรทัศน์ระบุว่า เหตุดังกล่าวเป็นการยั่วยุที่มุ่งขัดขวางการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่กำลังดำเนินอยู่ รวมทั้งขัดขวางกระบวนการไปสู่สันติภาพในซีเรียด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม คณะเจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัสเซียจะเดินทางไปยังตุรกี เพื่อร่วมสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ก่อนหน้านี้ ทั้งรัสเซียและตุรกีได้ร่วมมือกันเพื่อหาทางอพยพผู้คนออกจากเมืองอเลปโปของซีเรีย ควบคู่กับความพยายามที่จะนัดหารือครั้งสำคัญระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ตุรกี และอิหร่าน เรื่องสงครามกลางเมืองในประเทศซีเรีย เพื่อแสวงหาหนทางในการยุติภาวะสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานในซีเรีย ซึ่งมีรายงานว่า การหารือดังกล่าวจะยังคงเดินหน้าต่อไป แม้จะเกิดเหตุยิงทูตรัสเซียขึ้นก็ตาม ข่าวร้ายว่าด้วยการก่อร้ายในยุโรปไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ หากแต่ในวันเดียวกันนี้ ด้วยเวลาไล่เลี่ยกันไม่ถึงชั่วโมง ก็เกิดเหตุรถบรรทุกวิ่งเข้าชนฝูงชนที่กำลังจับจ่ายและซึมซับบรรยากาศของตลาดคริสต์มาสกลางกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางการรัฐบาลเยอรมนีประเมินปรากฏการณ์นี้ให้มีสถานะเป็นการก่อการร้าย ขณะที่ยังไม่สามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้ การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ นอกจากจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษของเยอรมนีแล้ว ยังทำให้หลายฝ่ายนึกย้อนไปถึงเหตุโจมตีที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส

Read More