วันเสาร์, เมษายน 27, 2024
Home > Cover Story > เปิดแผนธุรกิจ “นับเงิน กรุ๊ป” กับผู้บริหารรุ่นใหม่ “ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์”

เปิดแผนธุรกิจ “นับเงิน กรุ๊ป” กับผู้บริหารรุ่นใหม่ “ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์”

เรียกว่าเข้ามาสร้างปรากฏการณ์และความแปลกใหม่ให้กับสยามสแควร์ย่านวัยรุ่นสุดฮิตได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ “นับเงิน กรุ๊ป” กลุ่มธุรกิจของผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง “ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์” ที่กำลังเดินตามรอยความสำเร็จของรุ่นพี่อย่าง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” เจ้าของร้านอาหารดังมากมายไม่ว่าจะเป็น nice to Meat u, Fire Tiger หรือ Mil Toast House ที่ยึดพื้นที่แถบสยามสแควร์และสร้างความสำเร็จมาก่อนหน้านี้

แต่ “นับเงิน กรุ๊ป” ขอเล่นฉีก ด้วยการกระโดดเข้าสู่ธุรกิจความงามอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังมาแรง กับการเปิดร้านซาลอนพรีเมียม “KIKI Beauty Space” โดยปักธงสาขาแรกที่สยามสแควร์ซอย 3 ไปเมื่อ 3 ปีก่อน สร้างทั้งชื่อเสียงและรายได้หลักร้อยล้านในเวลาไม่นาน และล่าสุดยังเติมพอร์ตโฟลิโอให้กับบริษัทฯ ซื้อกิจการ “KOKO” ตำนานความอร่อยที่อยู่คู่สยามมากว่า 30 ปี รีแบรนด์สู่ร้านอาหารไทยไอคอนิก เพื่อสร้างให้สยามสแควร์เป็น “World Food Destination” ร่วมกับเครือรวยไม่หยุด กรุ๊ป

“ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์” นักธุรกิจรุ่นใหม่ในวัย 31 ปี เล่าถึงที่มาในการเข้าสู่โลกธุรกิจและต้นกำเนิดของนับเงิน กรุ๊ป ให้กับ “ผู้จัดการ 360 องศา” ฟังว่า ตัวเขาเองเรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนไปศึกษาต่อด้าน Supply Chain Management จาก Cass Business School London ที่ประเทศอังกฤษ โดยหลังจากเรียนจบเขาเลือกทำงานด้าน Private Banking เป็นที่ปรึกษาเรื่องการลงทุนต่างประเทศและวิเคราะห์ตลาด ให้กับสถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่หลังจากทำงานเป็นพนักงานประจำได้เพียง 9 เดือน โอกาสในการทำธุรกิจก็ถูกนำเสนอมาจากพี่สาวอย่าง “นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์” เจ้าของอาณาจักรรวยไม่หยุด กรุ๊ป

“พี่สาวเขาทำธุรกิจในย่านสยามสแควร์อยู่แล้ว แต่เน้นเครือร้านอาหารเพื่อทำให้สยามเป็น World Food Destination พอดีเขาได้พื้นที่ตรงสยามสแควร์ซอย 3 มา และชวนมาทำธุรกิจเพื่อช่วยพัฒนาพื้นที่ เราเลยทำการวิจัยหาข้อมูล ทำเป็น Data Analytics เลย เพื่อดูว่าพื้นที่ตรงนี้มีธุรกิจอะไรบ้าง ขาดอะไร อะไรที่มีเยอะ เพราะอะไร และคู่แข่งเป็นอย่างไร จนรู้ว่าธุรกิจบิวตี้ซาลอนคือสิ่งที่ยังขาดสำหรับย่านนี้ เลยตัดสินใจเปิดซาลอนพรีเมียมในชื่อ KIKI Beauty Space ขึ้น และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่นับเงินกรุ๊ปก้าวเข้ามาทำธุรกิจในสยามสแควร์”

KIKI Beauty Space (กีกี้ บิวตี้ สเปซ) เปิดให้บริการครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2563 โดยวางโพสิชันตัวเองเป็น ‘ลักชัวรี บิวตี้ ซาลอน’ ที่คัดสรรผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมจากแบรนด์ระดับโลกมาใช้ แต่เปิดได้เพียง 3 เดือนก็เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และอย่างที่ทราบกันดีซาลอนหรือร้านตัดผมเป็นธุรกิจแรก ๆ ที่โดนสั่งปิดในช่วงล็อกดาวน์ ทำให้ก้องภพต้องปรับกระบวนทัพใหม่ ด้วยการนำทั้งผลิตภัณฑ์และบริการของร้านทั้งหมดมาไว้บนออนไลน์

“เราเอาทั้งผลิตภัณฑ์ซาลอนตัวท็อปๆ จากทั่วโลกและบริการของ KIKI มาไว้บน Line Shopping ปรับมาเป็นขายคูปองล่วงหน้าให้ลูกค้าซื้อเก็บไว้ เมื่อร้านกลับมาเปิดได้ลูกค้าก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้เลย ซึ่งประสบความสำเร็จมาก สร้างยอดขายพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน พอโควิดซา ความต้องการทำหน้าทำผมก็กลับมาเพราะเหมือนทุกคนอัดอั้น ร้านเราก็เริ่มมีกระแส เรียกว่าเปิดมาปีแรกก็ติดตลาดเลย”

ฉีกกรอบซาลอนแบบเดิมๆ

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย กีกี้ บิวตี้ สเปซ ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะโดดเด่นด้วยผลิตภัณฑ์พรีเมียมและบริการที่ครบจบในที่เดียว ตั้งแต่การทำผม ทำเล็บ ไปจนถึงคิ้ว ขนตา แวกซ์ และทรีตเมนต์ผิวหน้า จากสาขาแรกที่สยามสแควร์ ตุลาคม 2564 ก้องภพจึงตัดสินใจเปิดสาขาสองที่เมกา บางนา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าเพิ่มเติม ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2566 เปิดเพิ่มอีกหนึ่งสาขาในชื่อ KIKI X (กีกี้ เอ็กซ์) บริการต่อผม ต่อขนตา ต่อเล็บ เพราะเห็นว่าดีมานด์ของลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ

“ต้นปี 2566 เราขยายบริการต่อผมเพิ่มเติมในกีกี้ บิวตี้ สเปซ ทำให้รู้ว่าคนไทยต่อผมกันเยอะมาก และเราได้รับผลตอบรับที่ดี กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของร้านไปเลย เพราะตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริการต่อผมยังไม่มีวันไหนที่ไม่มีลูกค้าจอง ขนาดแอนโทเนียยังมาต่อผมกับเราก่อนบินไปประกวดที่ต่างประเทศ เราเห็นถึงศักยภาพตรงนี้จึงตัดสินใจเปิด KIKI X ที่ย่อมาจาก extension ขึ้น เป็นการแตกแบรนด์เพื่อบริการทุกการต่อ”

ด้วยความเป็นซาลอนพรีเมียมที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมจากทั่วโลก ทำให้ค่าบริการของกีกี้ บิวตี้ สเปซ ค่อนข้างสูงกว่าที่อื่นราว 20% อย่างทำสีผมอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 30,000 บาท, ทรีตเมนท์ 3,000 – 8,000 บาท, ต่อผมขึ้นอยู่กับความยาวและเกรดของผม ราคาเริ่มต้นที่ 15,000 บาท, ทำเล็บเริ่มต้นที่ 500-600 บาท โดยบริการที่มีคนมาใช้บริการมากที่สุดคือ “ทำสีผม” ที่มีสีเทาโทนหม่นอันเป็นเอกลักษณ์ของร้านที่หลายๆ คนเรียกว่า “โทนสีกีกี้” เป็นตัวชูโรง

ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นซาลอนที่มีราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่ง แต่กีกี้ บิวตี้ สเปซ กลับมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทย เหล่าเซเลบริตี้ รวมไปถึงลูกค้าต่างชาติที่ลงทุนจองคิวและบินมาใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฮ่องกงและสิงคโปร์ ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างรายได้ถึง 200% ภายใน 3 ปีแรก และมีฐานลูกค้าที่เป็นสมาชิกหลักหมื่นราย ซึ่ง Key Success ที่ทำให้กีกี้ประสบความสำเร็จนั้น ก้องภพเปิดเผยว่ามาจากการใส่ใจในคุณภาพและแบรนดิ้งที่ชัดเจน

“ความสำเร็จมาจากแบรนดิ้ง เพราะมันชัดว่ากีกี้คือซาลอนพรีเมียม และสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดคือเรื่องคุณภาพ เราใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเป็นท็อปแบรนด์จากทั้งเกาหลี อเมริกา ยุโรป เน้นที่มีเคมีต่ำปลอดภัยแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดี มีอะไรใหม่ๆ มาให้ลูกค้าเสมอ สิ่งที่คุณได้รับจากกีกี้เรามั่นใจว่าคุณจะไม่ได้รับจากที่อื่น ถ้าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เหมือนกัน แต่สูตร เทคนิค และเคล็ดลับของกีกี้แตกต่าง ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า เป็น customize service with the best products” ก้องภพเน้นย้ำ พร้อมเสริมว่า

“หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของกีกี้ บิวตี้ สเปซ คือ เราเน้นสร้างความแตกต่าง ฉีกกรอบบิวตี้ ซาลอนที่เคยมี 3 ปีที่แล้วถ้าพูดถึงซาลอนพรีเมียม มักแต่งร้านหรูหรา มีโซฟา ร้านสีขาว แชนเดอเรียร์ หมอนขนๆ มีแค่นั้น แต่เราต้องการสร้างจุดเปลี่ยนด้วยการตกแต่งแบบใหม่ ให้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับลูกค้า เหมือนซาลอนที่เกาหลีเขาก็แต่งออกมาแบบมินิมอลดิบๆ ตัวคอนเซ็ปต์ร้านกีกี้ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น เราคิดว่าความเพอร์เฟกต์ของคนมันไม่มี แต่ทำยังไงให้การเป็นตัวของตัวเองของแต่ละคนออกมาดีและเพอร์เฟกต์สำหรับเขา เลยนำคอนเซ็ปต์นี้มาอยู่ในร้าน ทั้งการตกแต่ง เช่น โต๊ะทำผมเป็นปูนที่ถูกทุบให้แตก เพื่อสื่อให้เห็นว่าความไม่สมบูรณ์แบบมันก็สามารถสวยงามในแบบฉบับของมันได้”

นอกจากนี้ กีกี้ยังมีระบบสมาชิกที่เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการทำการตลาดที่สำคัญ โดยลูกค้าที่ต้องการเป็นสมาชิกต้องจ่ายเงินล่วงหน้าแล้วแต่แพ็กเกจที่สมัคร และสามารถใช้บริการได้ตามวงเงินที่มีอยู่ อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์พิเศษต่างๆ เพิ่มเติม และไม่จำกัดเฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้นแต่สามารถแชร์กันได้ โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งหมื่นบาท สูงสุดที่ 300,000 บาท ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ราวๆ หนึ่งหมื่นราย

เปิดตัวแบรนด์ KBS เจาะตลาดแมส

ในขณะที่กีกี้ บิวตี้ สเปซ วางโพสิชันเป็นซาลอนพรีเมียม แต่ก้องภพต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้าของนับเงิน กรุ๊ป ให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ปลายปี 2566 จึงได้เปิดตัว “KBS” แบรนด์ Personal Care ในราคาจับต้องได้ขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดแมส โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ออกมาภายใต้แบรนด์ KBS คือ “KBS The Hair Filler” เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมในราคาหลักร้อย โดยเน้นช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์และโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม

“คอนเซ็ปต์ของ KBS คือ ซาลอนพรีเมียมเปิดแบรนด์สินค้าในราคาที่จับต้องได้ เป็นสินค้าหลักร้อยแต่คุณภาพหลักพัน ซึ่งเรามั่นใจในการทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้มาก เพราะทำซาลอนมา 3 ปีแล้ว รู้เพนพอยต์ของลูกค้าและรู้วิธีแก้ปัญหานั้น จึงนำจุดนี้มาสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า”

ก้องภพเปิดเผยต่อว่า ผลิตภัณฑ์ของ KBS ได้รับกระแสตอบรับดีมาก ในวันแรกที่ไลฟ์เปิดตัวใน TikTok เพียง 1 ชั่วโมง สร้างยอดขายได้ถึง 7 แสนบาท และในอนาคตมีแผนบุกตลาด สปป.ลาว และเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ KBS เพิ่มเติม ตั้งเป้าสร้างรายได้ 100 ล้าน หลังการวางจำหน่ายภายในขวบปีแรก

รีแบรนด์ร้าน KOKO ขยายพอร์ตฯ สู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

นอกจากธุรกิจความงามแล้ว ก้องภพยังขยายพอร์ตฯ ให้กับนับเงิน กรุ๊ป ด้วยการเข้าสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เข้าซื้อกิจการของร้าน KOKO (โกโก้) ร้านอาหารเก่าแก่ที่อยู่คู่สยามสแควร์มานานกว่า 30 ปี และรีแบรนด์สู่ร้านอาหารไทยไอคอนิก เพื่อผลักดันให้สยามสแควร์เป็น World Food Destination ร่วมกับเครือรวยไม่หยุดของพี่สาว ตั้งเป้าก้าวสู่ผู้นำธุรกิจ Beauty & Lifestyle โดยเปิดบริการไปเมื่อไตรมาส 3 ของปี 2566

นั่นทำให้ ณ ปัจจุบัน ธุรกิจในเครือนับเงิน กรุ๊ป ครอบคลุมทั้งความงามและไลฟ์สไตล์ โดยมีบริษัท นับเงินไม่ทัน จำกัด ดูแลธุรกิจ Beauty Service อย่างกีกี้ บิวตี้ สเปซ และกีกี้ เอ็กซ์, บริษัท นับเงินล้านล้าน จำกัด ดูแลธุรกิจ Beauty Product ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ในแบรนด์ KBS และบริษัท นับเงินรัวรัว จำกัด ดูแลธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างร้าน KOKO

เรียกว่าปี 2566 ที่ผ่านมา เป็นปีแห่งการขยายธุรกิจของเครือนับเงิน กรุ๊ป อย่างแท้จริงด้วยงบลงทุนกว่า 40 ล้านบาท สำหรับก้าวต่อไปของนับเงิน กรุ๊ป ก้องภพเปิดเผยว่าภายในปี 2569 จะดันสัดส่วนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มให้ขึ้นมาเป็น 50% ของพอร์ตรวมในเครือ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 20% โดยเน้นที่การขยายสาขาเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ KBS และ KIKI เพิ่มเติม โดยตั้งเป้ารายได้ของปี 2567 ไว้ที่ 300 ล้านบาท

ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียวสำหรับธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคลื่นลูกใหม่ อย่าง “นับเงิน กรุ๊ป” และคงต้องดูต่อไปว่าในอนาคตนับเงิน กรุ๊ป จะมีอะไรแปลกใหม่มาให้เราได้เห็นกันอีก.