วันเสาร์, เมษายน 27, 2024
Home > Cover Story > 60 ปี จาก “น้ำดำ” สู่ธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจร

60 ปี จาก “น้ำดำ” สู่ธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจร

เส้นทางของ “เสริมสุข” เมื่อ 60 ปีก่อน เริ่มต้นเมื่อ ยม ตัณฑเศรษฐี นายแบงก์จากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ  ชักชวนเจ้าสัวโล่เต็กชวน พ่อของทรง บุลสุข เจ้าของกิจการโรงสีหลายแห่ง ร่วมลงหุ้นธุรกิจค้าน้ำอัดลม โดยมีตระกูลล่ำซำและหวั่งหลีรวมอยู่ด้วย

ทั้งสี่ตระกูลร่วมก่อตั้งบริษัทเสริมสุข  เพื่อผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลมยี่ห้อ “เป๊ปซี่” โดยได้รับสิทธิจากเป๊ปซี่ โค อิงค์ สหรัฐอเมริกา  ประเดิมขายเป๊ปซี่ขวดแรกในเช้าวันพุธที่ 18 มีนาคม 2496 พร้อมคำโฆษณาฮิตติดปาก “ดีมาก มากดี”

เสริมสุขยุคแรกมี พล.ต.ท.พระพินิจชนคดี เป็นประธานกรรมการ และยม ตัณฑเศรษฐี เป็นกรรมการผู้จัดการ ส่วนเจ้าสัวโล่เต็กชวนเป็นหนึ่งในกรรมการ
 
ปี 2501 เจ้าสัวโล่เต็กชวนผลักดันลูกชาย คือ ทรง บุลสุข ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ หลังจาก ยม ตัณฑเศรษฐี กลับไปเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ
 
จากโรงงานและสำนักงานเล็กๆ ในซอยศาลาแดง กำลังผลิต 2 หมื่นลังต่อวัน ทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท ทรง บุลสุข เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 15 ล้านบาท และสร้างโรงงานใหม่ที่บางเขนในปี 2510 พื้นที่ 24 ไร่ กำลังการผลิต 55,000 ลังต่อวัน จากนั้นอีกไม่กี่เดือนเปิดโรงงานแห่งที่ 3 ที่ จ.นครราชสีมา ตามด้วยโรงงานแห่งที่ 4 ใน จ.นครสวรรค์
 
ปี 2518 ทรง บุลสุขประกาศสร้างโรงงานแห่งที่ 5 ริมฝั่งเจ้าพระยา จ.ปทุมธานี เนื้อที่กว่า 160 ไร่ มูลค่าเกือบ 500 ล้านบาท สร้างเสร็จปี 2525 ถือเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของเป๊ปซี่นอกสหรัฐฯ ในเวลานั้น

เส้นทางของเสริมสุขมาเจอวิกฤตครั้งใหญ่เมื่อปี 2523 รัฐบาลสมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ขึ้นภาษีน้ำอัดลม 134% อ้างว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้ต้องขึ้นราคา ยอดขายตกลง 30% บริษัทขาดทุนกว่า 133 ล้านบาท หนี้พอกร่วม 500 ล้านบาท ในที่สุดต้องเจรจาเพิ่มทุนและเปิดทางให้บริษัท เป๊ปซี่-โคลา(ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด เข้ามาถือหุ้นใหญ่ 28.29% ในปี 2529
 
การฝ่าวิกฤตครั้งนั้นถือเป็นผลงานชิ้นสำคัญของสมชาย บุลสุข ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการเมื่อปี 2527 หลังจากสั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลมทุกด้านมากกว่า 20 ปี
 
“เสริมสุข” เจอวิกฤตอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง  โดยเฉพาะสัญญาการจำหน่ายหัวน้ำเชื้อ จนเกิดจุดแตกหักเมื่อเป๊ปซี่-โค อิงค์ ตั้งบริษัท สตราทีจิค เบฟเวอร์เรจเจส (ประเทศไทย) จำกัด ทำคำเสนอซื้อหุ้นเสริมสุข หวังเทกโอเวอร์กิจการ แต่ไม่สำเร็จ

การต่อสู้ฮุบหุ้นยืดเยื้อจนกระทั่งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ชิงจังหวะซื้อกิจการเสริมสุข ผ่านบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก และบริษัท เอสเอสเนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด เริ่มจากการซื้อหุ้นของกลุ่มบุลสุข  20.6% ช่วงปลายปี 2553 และในวันที่ 9 ก.ย.2554 ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด  265 ล้านหุ้น ราคา 58 บาทต่อหุ้น มูลค่ากว่า  15,422 ล้านบาท เสริมสุขกลายเป็นบริษัทในเครือไทยเบฟฯ

ขณะที่บริษัทแม่เป๊ปซี่โค อิงค์ ยุติการต่อสัญญาผลิตและจัดจำหน่ายกับเสริมสุข เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2555 หลังจากดำเนินธุรกิจร่วมกัน 59 ปี สัญญาสิ้นสุด 31 ต.ค.ปีเดียวกัน
 
 2 พ.ย.2555 “เสริมสุข” ยุคคนรุ่นใหม่อย่าง “ฐิติวุฒิ์ บุลสุข” เปิดตัวเครื่องดื่มน้ำอัดลม “เอส” ตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจร ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก