วันอังคาร, มีนาคม 19, 2024
Home > On Globalization > การตายของเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาสูงที่สุดในประเทศที่พัฒนาแล้ว

การตายของเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาสูงที่สุดในประเทศที่พัฒนาแล้ว

Column: Women in Wonderland

The Black Infant Remembrance Memorial เป็นโครงการของประเทศสหรัฐอเมริกาที่รณรงค์ให้ทุกคนคิดถึงเด็กทารก โดยเฉพาะเด็กทารกที่เกิดในครอบครัวของคนดำหรือคนที่มีผิวดำที่เสียชีวิต โครงการนี้เป็นโครงการที่ถูกจัดขึ้นทางสังคมออนไลน์ ระหว่างวันที่ 3–9 กันยายน ซึ่งปีนี้ได้ถูกจัดขึ้นเป็นปีแรก พร้อมๆกับการรณรงค์ให้คนผิวดำหรือคนดำเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นการรณรงค์ตลอดทั้งสัปดาห์เช่นเดียวกันกับโครงการ The Black Infant Remembrance Memorial โดยโครงการและการรณรงค์นี้ได้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหวังจะเป็นส่วนหนึ่งให้คนในสังคมกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องอัตราการตายของเด็กทารก

ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอัตราการตายของเด็กทารกสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ 27 ประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในระดับดีมาก อัตราการตายของเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวคนดำ แม้อัตราการตายจะลดลงจากในปี 2005 ที่อยู่ที่ 6.87 ต่อเด็กที่เกิดมา 1,000 คน และในปี 2011 อัตราการตายของเด็กทารกก็ลดลงเหลือ 6.07 ต่อเด็กที่เกิดมา 1,000 คน แต่ก็ยังคงสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ

อัตราการตายของเด็กทารกเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะละเลยไปไม่ได้ เนื่องจากอัตราการตายของเด็กทารกเป็นตัวบ่งชี้ถึงสุขภาพของคนในประเทศ เพราะอัตราการตายของเด็กทารกจะเป็นตัวชี้วัดถึงเรื่องสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ คุณภาพด้านการแพทย์ การเข้าถึงบริการด้านการแพทย์ของคนในประเทศ และการได้รับความรู้ ข่าวสารต่างๆ ทางการแพทย์ ของคนในประเทศ ดังนั้นการที่อัตราการตายของเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสูงมาก ย่อมหมายถึงสุขภาพของคนในประเทศในภาพรวมยังคงแย่อยู่หรือมีปัญหาด้านใดด้านหนึ่งถึงทำให้อัตราการตายของเด็กทารกนั้นสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กทารกส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นเด็กทารกที่เกิดในครอบครัวคนดำ เรื่องนี้อาจจะชี้ให้รัฐบาลเห็นได้อย่างชัดเจนถึงปัญหาด้านสุขภาพ และนโยบายด้านสาธารณสุขที่ยังไม่ดีพอที่จะช่วยให้คนในประเทศมีสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะคนดำที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

คนดำที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเป็นคนส่วนใหญ่ที่อพยพหรือย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศในทวีปแอฟริกา (ประมาณ 39%) และจากประเทศและหมู่เกาะในเขตทะเลแคริบเบียน ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา มีคนดำอพยพหรือย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในสหรัฐอเมริกามากขึ้นเป็น 2 เท่า ในปี 2016 มีคนแอฟริกันย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาประมาณ 4.2 ล้านคน จากที่ในปี 1980 มีเพียง 816,000 คนเท่านั้น

สถิติข้างต้นเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่า นโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้นล้มเหลวสำหรับคนดำ หรืออาจจะมีอุปสรรคหรือปัญหาที่ทำให้คนขาวสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ด้านสาธารณสุข แต่คนดำกลับไม่ได้รับบริการนี้ ทำให้อัตราการตายของเด็กทารกส่วนใหญ่จึงเป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวคนดำ

Kiddada Green ผู้บริหารระดับสูงของ Black Breastfeeding Association หรือเรียกสั้นๆ ว่า BMBFA และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งการรณรงค์ Black Breastfeeding Week ได้ให้สัมภาษณ์กับองค์กร Women E-News (www.womenenews.org) ไว้ว่า ตลอดเวลาที่เธอทำงาน ได้เดินทางไปยังเมืองต่างๆ และมีโอกาสพูดคุยกับผู้หญิงเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งที่เธอมีโอกาสได้คุยเธอจะต้องได้ยินผู้หญิงอย่างน้อยหนึ่งคนเล่าประสบการณ์การตั้งครรภ์ให้ฟัง ทุกคนจะเล่าถึงการคลอดลูก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และหลายคนจบเรื่องด้วยการที่ลูกของเธอเสียชีวิตลง หลังจากที่พวกเธอเล่าเรื่องการเสียชีวิตของลูกเธอแล้ว ก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องอื่นต่อไป ทำเหมือนกับว่าการเสียชีวิตของเด็กคนหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องเศร้าอะไรเลย เหมือนเป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

ในความเป็นจริงแล้วการเสียชีวิตของเด็กคนหนึ่งมันคือ โศกนาฏกรรม เป็นเรื่องใหญ่ของการสูญเสียหนึ่งชีวิตไป ทั้งๆ ที่ครอบครัวเหล่านี้ก็มีการหวังและฝันถึงอนาคตของลูกเหมือนกับครอบครัวอื่นๆ และอย่าได้คิดว่าการที่ครอบครัวเหล่านี้ต้องพบกับการสูญเสีย พวกเขาจะได้รับคำปรึกษา หรือการสนับสนุนด้านใดด้านหนึ่งในการฟื้นฟูจิตใจ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นคือ ครอบครัวคนดำเหล่านี้ไม่สามารถที่จะพูดถึงการสูญเสียลูกกับใครได้เลย เพราะสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ให้พื้นที่หรือโอกาสคนดำเรียกร้อง พูด หรือปรึกษาอะไรกับใครได้เลยเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูก

นอกจากนี้การใช้ความรุนแรงและจำนวนคนตายที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และส่วนใหญ่ก็เกิดในสังคมของดำ ยิ่งช่วงที่มีการกราดยิงกันในเขตที่อยู่อาศัยของคนดำ ทำให้คนดำหลายคนมีปัญหาด้านสุขภาพจิต แต่จิตแพทย์หรือบริการด้านอื่นๆ ที่จะช่วยเยียวยาจิตใจกลับไม่มีการเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม เพราะคนในสังคมส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าคนดำคุ้นเคยและพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ประจำอยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้ทำให้ Green รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่ใหญ่และรุนแรงขึ้น และเธอน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เรื่องเหล่านี้ได้รับความสนใจจากคนในสังคมได้ จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งโครงการ The Black Infant Remembrance Memorial

โครงการ The Black Infant Remembrance Memorial ต้องการเพิ่มพื้นที่ให้กับคนดำที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับผลกระทบจากเรื่องต่างๆ

The Black Infant Remembrance Memorial จะเป็นพื้นที่ออนไลน์สำหรับครอบครัวคนดำที่ต้องการความรู้หรือต้องการความช่วยเหลือในกรณีต่างๆ โดยในเว็บไซต์ครอบครัวที่สูญเสียลูกไปสามารถไปสร้างบัญชีเพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกที่เสียไป เพื่อมีการระลึกถึงการจากไปในทุกๆ ปี และยังสามารถทราบข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ในเมืองที่ตัวเองอยู่อาศัยเพื่อที่จะสามารถไปขอรับความช่วยเหลือเพื่อเยียวยาจิตใจในช่วงเวลาแห่งการสูญเสียได้

นอกจากนี้ครอบครัวยังสามารถได้รับข้อความจากคนอื่นๆ ที่ส่งมาเพื่อแสดงความเสียใจและความเห็นใจได้อีกด้วย โดยโครงการหวังว่าการแชร์เรื่องราวการเสียชีวิตของลูกในโลกออนไลน์จะทำให้ผู้ที่ใช้บริการนี้สามารถพบปะเพื่อนใหม่หรือครอบครัวใหม่ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกัน และสามารถพูดคุยปรับทุกข์กันได้ และอาจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลของจิตแพทย์หรือบริการอื่นๆ ในเมืองนั้นๆ ได้

Green เชื่อว่า การระลึกถึงและการรับรู้ของสังคมจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี ในการให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและคนในสังคมหันกลับมาให้ความสำคัญกับอัตราการตายของเด็กทารก โดยเฉพาะเด็กทารกในครอบครัวคนดำ และสุดท้ายจะสามารถป้องกันการเสียชีวิตของเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาได้

ถึงแม้ว่าปัญหาเรื่องอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกจะไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เท่าเทียมกันในสังคม และการเหยียดเชื้อชาติในการรักษา เป็นต้น ทำให้ผู้หญิงผิวดำส่วนใหญ่มีปัญหาตั้งแต่ช่วงการตั้งครรภ์ ที่ได้รับการปฏิบัติจากหมอและพยาบาลที่แตกต่างจากคนผิวขาวที่ตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นคนดำมีความเครียดสูงกว่าคนขาว นี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักน้อยกว่าเมื่อคลอดออกมา ซึ่งจะส่งผลต่อการมีอายุที่ยืนยาวของเด็กเช่นกัน การที่ทารกคลอดออกมาเมื่อครบ 40 สัปดาห์ แต่พวกเขาตัวเล็ก และอาจจะเพิ่มน้ำหนักได้น้อยหลังจากที่เกิด อาจทำให้ป่วยบ่อยได้ และนี่ก็อาจจะกลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อัตราเด็กทารกในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะเด็กทารกผิวดำเสียชีวิตค่อนข้างสูง

Stanford University ได้ทำการศึกษาชีวิตของเด็กทารกในรัฐแคลิฟอร์เนียพบว่า ทารกผิวดำที่เกิดมาได้รับการดูแลจากหมอและพยาบาลแย่กว่าเด็กทารกผิวขาว และเด็กทารกผิวดำหลังคลอดยังคงเพิ่มน้ำหนักได้ช้ากว่าเด็กทารกผิวขาว นอกจากนี้งานวิจัยชิ้นนี้ยังพบด้วยว่า แพทย์บางส่วนรับรู้ได้ว่าพวกเขาให้การดูแลและเอาใจใส่หญิงตั้งครรภ์ที่มีผิวดำแย่กว่าผิวขาว เพราะอคติที่พวกเขามีเกี่ยวกับสีผิวและเชื้อชาติ

ดังนั้นการแก้ปัญหาลดอัตราการตายของเด็กทารกจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องให้ความสำคัญ การจัดตั้งโครงการ The Black Infant Remembrance Memorial น่าจะเป็นทางหนึ่งในการช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับคนผิวดำในการบอกเล่าประสบการณ์เลวร้ายของพวกเขา โดยเฉพาะการสูญเสียลูก เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของคนเป็นพ่อแม่ เรื่องเลวร้ายเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าหากบุคคลที่เป็นหมอหรือพยาบาลจะรักษาคนไข้อย่างเท่าเทียมไม่มีอคติ และไม่มีการเหยียดเชื้อชาติ เพราะการที่บุคลากรทางแพทย์เลือกปฏิบัติต่อคนไข้ ทำให้เด็กหลายคนสูญเสียโอกาสที่จะได้ฉลองวันเกิดในปีแรกของพวกเขาไป

การยุติการเหยียดเชื้อชาติในองค์กรสาธารณสุขในสหรัฐอเมริกาจึงเป็นเรื่องแรกที่ต้องแก้ไข หากต้องการที่จะลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารก และการเหยียดเชื้อชาติเป็นเรื่องที่มีมานาน การแก้ไขจึงไม่สามารถทำได้ทันทีทันใด บางทีจึงควรเริ่มต้นจากการคัดเลือกบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่มีอคติก่อนในการดูแลรับผิดชอบคนไข้ที่เป็นคนดำ เพื่อให้ทุกคนได้รับการดูแลอย่างดี โดยเฉพาะทารกแรกเกิด เพื่อให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์จนถึงวันเกิดในปีแรก และยังสามารถลดอัตราการตายของเด็กทารกลงได้อีกด้วย
Photo Credit: https://www.freeimages.com/photo/curious-1309170

ใส่ความเห็น