วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
Home > On Globalization > ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับสถานรับดูแลเด็กเล็กในประเทศอเมริกา

ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับสถานรับดูแลเด็กเล็กในประเทศอเมริกา

 
 
Column: Women in Wonderland
 
 
ช่วงนี้เรียกว่าช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศอเมริกา ทำให้แต่ละพรรคการเมืองต่างก็งัดเอานโยบายต่างๆ ออกมาหาเสียง เพื่อให้ประชาชนสนใจและลงคะแนนเสียงให้ตัวเอง นโยบายหนึ่งที่นางฮิลลารี คลินตัน ได้หยิบยกมาพูดถึงคือนโยบายการแก้ไขปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็ก คนแก่ ผู้พิการ และคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในตอนกลางวันที่มีราคาในการใช้บริการที่ค่อนข้างสูง และทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายเงินสำหรับใช้บริการเหล่านี้ได้
 
ที่ประเทศอเมริกาผู้คนส่วนใหญ่จะพบเจอกับปัญหาที่ว่า รายได้ของพวกเขาไม่เพียงพอต่อความต้องการของครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก หลังจากคลอดลูกผู้หญิงส่วนใหญ่อาจจะลางานได้  3–6 เดือนในการดูแลลูกหลังคลอดตามกฎหมาย และหลังจากหมดวันลาคลอดแล้วก็จะนำลูกไปฝากไว้ที่สถานรับดูแลเด็กเล็ก (Child Care) ในเวลาที่ตัวเองต้องออกไปทำงาน 
 
ในต่างประเทศสถานรับดูแลเด็กเล็กนั้นสามารถพบเห็นได้เยอะมาก ในมหาวิทยาลัยหรือที่ทำงานบางแห่งจะมีสถานรับดูแลเด็กเล็กอยู่ในที่ทำงานเลย เพื่อให้ผู้หญิงสามารถออกมาทำงานข้างนอกได้สะดวกมากขึ้น ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับลูกและยังสามารถไปและกลับจากที่ทำงานพร้อมลูกได้เลย สถานรับเลี้ยงเด็กในต่างประเทศนั้นจะมีค่าใช้จ่ายเป็นชั่วโมงสำหรับผู้ปกครองที่ทำงานพาร์ตไทม์และไม่ได้ทำงานทุกวัน หรือจ่ายเป็นสัปดาห์สำหรับผู้ปกครองที่ทำงานเต็มเวลาทุกวัน 
 
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ รายได้ที่เข้ามาในครอบครัวจากทั้งผู้ชายและผู้หญิงยังคงไม่เพียงพอในการส่งลูกไปอยู่ที่สถานรับดูแลเด็กเล็ก ดังนั้นเมื่อรายได้ที่เข้ามาไม่เพียงพอ ผู้หญิงจึงต้องตัดสินใจว่าจะขอลาหยุดงานต่อเพื่อเลี้ยงดูลูกอยู่ที่บ้านหรือจะต้องเอาลูกไปฝากไว้กับพ่อแม่ แล้วตัวเองออกไปทำงาน 
 
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าในวัฒนธรรมของฝรั่งนั้นไม่เหมือนกับบ้านเรา ที่ต่างประเทศเมื่อเริ่มทำงานแล้ว คนหนุ่มสาวจะแยกตัวออกมาอยู่เอง และจะกลับไปบ้านพ่อแม่ก็ต่อเมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสหรือวันอีสเตอร์เท่านั้น ดังนั้นการที่จะให้เอาลูกไปฝากพ่อแม่เลี้ยงในตอนกลางวันจึงเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกัน การที่ต้องตัดสินใจว่าจะหยุดทำงานต่อและทำให้ครอบครัวมีรายได้น้อยลงในขณะที่รายจ่ายจะเพิ่มขึ้นจากการที่มีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นหรือจะต้องเอาลูกไปฝากพ่อแม่เลี้ยงนั้นจึงเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก
 
ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และคนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษมีราคาที่สูงเกินไปนั้นเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว และยังคงหาทางแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ นางฮิลลารี คลินตัน มองเห็นปัญหานี้ และได้คิดที่สานนโยบายนี้ต่อหลังจากที่นโยบายแก้ไขปัญหานี้ไม่เดินหน้าเท่าที่ควรในรัฐบาลชุดนี้
 
สาเหตุที่นางคลินตันเห็นความสำคัญของปัญหานี้ก็เพราะในปี 2532 นางคลินตันซึ่งในขณะนั้นยังคงทำงานเป็นทนายความและประธานของกองทุนปกป้องเด็ก (Children’s Defense Fund) ได้ร่วมเดินทางไปกับตัวแทนจากองค์กรต่างๆ ไปประเทศฝรั่งเศส เพื่อศึกษาดูว่าที่ประเทศฝรั่งเศสมีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างไรหรือแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ซึ่งประเทศนอร์เวย์ สวีเดน และฝรั่งเศส เป็นสามประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องสวัสดิการในการดูแลเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ 
 
หลังจากที่นางคลินตันกลับมาจากฝรั่งเศส ได้เขียนบทความเรื่องหนึ่งลงหนังสือพิมพ์ The New York Time และได้เรียกร้องให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแก้ไขปัญหานี้ อย่างเช่นการช่วยลดภาระสำหรับคนที่มีลูกและยังเล็กอยู่ หรือการเพิ่มรายได้ให้กับคนที่เพิ่งคลอดลูก เพื่อให้คนเหล่านี้สามารถนำลูกไปฝากเลี้ยงสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กและสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ
 
นางคลินตันได้เขียนไว้ในบทความว่า “สำหรับความยุติธรรมในประเทศของเราและสำหรับเด็กๆทุกคนในประเทศของเรา พวกเราต้องช่วยกันคิดและพัฒนาเด็กๆ ของเราให้เติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และการที่จะให้เด็กๆ เหล่านี้โตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์นั้น พวกเราต้องช่วยกันลดค่าใช้จ่าย ทั้งที่เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าใช้จ่ายในสังคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเด็กๆ ให้เติบโตขึ้นมาอย่างดี” การที่นางคลินตันเขียนข้อความแบบนี้ก็เพราะค่าใช้จ่ายสำหรับสถานรับดูแลเด็กเล็กนั้นเป็นค่าใช้จ่ายทางสังคมในต่างประเทศสำหรับการเลี้ยงเด็กให้เติบโตขึ้นมาและมีค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้บริการที่สูงมากสำหรับคนอเมริกัน
 
ถึงแม้ว่านางคลินตันจะออกมาพูดและเรียกร้องให้รัฐบาลมีการแก้ไขปัญหานี้ แต่ตอนที่นายบิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีอเมริกา ปัญหานี้ก็ไม่ได้รับความสนใจในการแก้ไขเหมือนกัน
 
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการที่ครอบครัวไม่สามารถจ่ายเงินสำหรับสถานรับเลี้ยงดูเด็กเล็กได้นั้น ทำให้ผู้หญิงหลายคนตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไร และผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ตัดสินใจที่จะหยุดงานต่อ หรือในกรณีที่แย่ที่สุดคือต้องลาออกจากงาน ซึ่งหมายความว่ารายได้ของครอบครัวจะลดลง และพวกเธอจะตกงาน และอาจจะหางานได้ยากขึ้นเมื่อสามารถกลับไปทำงานได้ จึงทำให้ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของคนอเมริกันและต้องการให้รัฐบาลหาทางแก้ไข
 
ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงมากของสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กนั้นมีมานาน และรัฐบาลก็ได้หาหนทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการออกนโยบาย Caring Economy ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐจะใช้งบประมาณส่วนหนึ่งในการช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษอย่างเช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และคนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษทางการแพทย์ เป็นต้น 
 
นอกจากนี้เงินในส่วนนี้ยังถูกใช้ในการส่งเสริมให้ผู้หญิงมีรายได้ต่อชั่วโมงเทียบเท่ากับผู้ชายและได้รับสวัสดิการที่มากขึ้น โดยเฉพาะสวัสดิการสำหรับการลาคลอดลูกและการมีบุตร และยังนำเงินบางส่วนมาช่วยสร้างงานทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น
 
รัฐบาลมีความเชื่อว่า ถ้าหากผู้หญิงมีรายได้ที่มากขึ้นและได้รับสวัสดิการที่ดีในการลาคลอดบุตรและการมีบุตร ก็จะทำให้ผู้หญิงเหล่านี้สามารถกลับมาทำงานได้ตามเดิมเมื่อครบกำหนดในการลาคลอด และการที่ผู้หญิงเหล่านี้สามารถกลับมาทำงานได้ ก็จะทำให้ครอบครัวของพวกเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถส่งลูกของเธอให้เรียนได้สูงๆ ตามที่พวกเขาต้องการ
 
แต่นโยบาย Caring Economy ของรัฐบาลชุดนี้กลับไม่เดินหน้าเท่าที่ควร ทำให้นางคลินตันนำจุดนี้ออกมาหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกาตอนสิ้นปีนี้ โดยนางคลินตันได้พูดในตอนหาเสียงว่า ถ้าหากเธอชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ เธอจะเสนอให้มีการลดภาษีสำหรับครอบครัวที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับคนในครอบครัวที่ต้องการคนดูแล อย่างเช่นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ เป็นต้น 
 
นอกจากนี้ยังมีการอบรมวิธีการดูแลคนเหล่านี้ให้กับผู้ที่สนใจจะทำงานด้านนี้ เพื่อให้มีคนทำงานด้านนี้เพิ่มมากขึ้นและทำให้ค่าใช้จ่ายในด้านนี้ถูกลง และยังจะเพิ่มสวัสดิการให้กับคนที่มาทำงานด้านนี้ อย่างเช่นว่าได้รับวันหยุดเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น 
 
นอกจากนี้นางคลินตันยังได้พูดถึงโครงการที่ถูกปฏิเสธไปเมื่อปี 2556 คือโครงการที่จะจัดให้มีสถานรับดูแลเด็กเล็กโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งนางคลินตันได้พูดว่าจะนำโครงการนี้กลับมาเสนอใหม่ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับทุกครอบครัว
 
เรื่องการลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่ต้องการการดูแลนั้นล้วนแต่เป็นความคิดและนโยบายจากพรรค Democrats ในขณะที่ทางฝั่ง Republican นั้นไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ ที่จะทำให้ภาครัฐต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
 
แต่ในปี 2557  The Center for Partnership Studies ได้เปิดเผยผลการศึกษาเรื่อง Social Wealth Economic Indicators ที่ศึกษาว่าการลงทุนในโครงการการดูแลคนที่ต้องการได้รับการดูแลนั้นสามารถช่วยส่งเสริมความมั่นคงของสังคมได้หรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาในครั้งนี้พบว่า เด็กเล็กจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างดีตลอดเวลา และการให้การศึกษาอย่างดีกับเด็กเล็กก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะการได้รับการดูแลและการศึกษาที่ดีจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในการเรียนรู้ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเด็กๆ เหล่านี้จะเป็นผู้ใหญ่และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต ดังนั้นการลงทุนในสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
 
การศึกษาในครั้งนี้ได้ยกตัวอย่างเรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก เพื่อชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร โครงการนี้ได้ทำการศึกษาถึง 35 ปีในสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กที่เมืองมิชิแกน และพบว่า เด็กเล็กที่ได้รับการดูแลอย่างดีนั้น เมื่อโตขึ้นพวกเขาจะไม่ค่อยมีลักษณะหรือแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงหรือก่ออาชญากรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้ที่ค่อนข้างสูง และจะมีเงินเก็บเงินออมมากกว่าคนอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีและเอาใจใส่มาตั้งแต่เด็ก
 
ดังนั้นเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปของสถานรับเลี้ยงเด็กเล็กจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ อย่างน้อยที่สุดถ้ารัฐบาลสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลงได้ จะทำให้ผู้หญิงหลายคนสามารถกลับไปทำงานได้ และช่วยให้หลายครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่ยังไม่รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศในอนาคตที่จะได้รับจากเด็กๆ ที่ได้รับการดูแลและการศึกษาอย่างดีตั้งแต่เด็กๆ