วันอาทิตย์, เมษายน 28, 2024
Home > New&Trend > เปิดวิสัยทัศน์บิ๊กบอส “เอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ” กับหลักการบริหารงานที่ยึดผลประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

เปิดวิสัยทัศน์บิ๊กบอส “เอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ” กับหลักการบริหารงานที่ยึดผลประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและระบบประสาท รพ.เอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เปิดใจถึงสูตรสำเร็จการบริหารโรงพยาบาลสู่การพัฒนาศักยภาพทีมแพทย์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย

“ถ้าพูดถึงโรงพยาบาลเอสฯ ผมว่านิยามคือ เรามีเทคโนโลยีในการรักษาที่ดีที่สุด และมีทีมแพทย์ที่รักษาในแนวทางเดียวกัน มีเทคนิคการรักษาที่เหมือนกัน คุณภาพการรักษาที่ใกล้เคียงกัน ผมว่าเราเน้นการรักษาที่เป็นทีม เพราะฉะนั้นหากท่านเจอกับแพทย์ท่านใด ก็จะเหมือนกับได้รับการรักษาที่ได้คุณภาพเท่าเทียมกันทุกคน เพราะนี่คือปรัชญาหลักของโรงพยาบาล”

นี่คือสิ่งที่ นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้เผยถึงโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและระบบประสาทแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย

เมื่อถามว่าเหตุใดโรงพยาบาลเอส สไปน์ ถึงเป็นโรงพยาบาลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ทศวรรษ ในเรื่องนี้ นพ.ดิตถพงษ์ เผยว่า โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ใช้การรักษาแบบ Minimally Invasive Spine Surgery หรือ MIS Spine แบบครบวงจร เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังและกลัวการผ่าตัด ทำให้การผ่าตัดแผลใหญ่กลายเป็นแผลเล็ก แต่ได้ผลลัพธ์การรักษาที่เท่ากัน ปลอดภัยกว่าเดิม ผู้ป่วยเสียเลือดน้อย ความเจ็บปวดหลังการรักษาลดลง ทำให้ค่ารักษาโดยรวมถูกกว่าเดิม ผู้ป่วยจากเดิมที่เคยต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือบางรายอาจต้องนอนนาน 1-2 เดือน แต่เมื่อมารักษาด้วยวิธี MIS Spine ทำให้ผู้ป่วยนอนพักที่โรงพยาบาลเพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น

นอกจากนั้นสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของโรงพยาบาลคือ เวลารับแพทย์เพื่อเข้ามาเป็นแพทย์ประจำเรามีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกคือ ต้องมีทัศนคติที่ตรงกับของโรงพยาบาล เพราะว่าโรงพยาบาลยึดหลักต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย รายได้และเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องรอง ต้องมองเห็นประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลัก แพทย์ที่เข้ามาอยู่กับเราก็ต้องมีทัศนคติที่ตรงกับเรา เพราะฉะนั้นเมื่อมีทัศนคติที่ตรงกันแล้วจะมองข้ามไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะแพทย์แต่ละท่านต่างก็จบมาจากหลากหลายที่ การรักษาที่หลากหลายวิธี แต่ละที่ก็เรียนมาอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง

“เหมือนคนทำผัดไทย บางคนเอาเส้นผัดก่อน บางคนเอากุ้งทอดก่อน บางคนเอาเต้าหู้ทอดก่อน แต่สุดท้ายมันก็ออกมาเป็นผัดไทยเหมือนกัน แต่รสชาติไม่เหมือนกัน ดังนั้นที่นี่เราจึงใช้วิธีโดยการฝึกอบรมให้เหมือนกัน ไม่ว่าจะจบจากที่ไหนก็ตาม เหมือนกับเราพูดภาษาเดียวกัน มีเทคนิคการรักษาที่เหมือนกัน แพทย์แต่ละท่านเวลาดูเคสของท่านอื่น เขาจะได้รู้ว่าแพทย์ท่านนี้คิดอย่างไร อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเอสฯ ทำให้แพทย์ทุกคนเข้าใจทุกเคสของแต่ละท่านได้”

เพราะฉะนั้นผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ สามารถที่จะพบแพทย์ท่านหนึ่ง แล้วรักษากับแพทย์อีกท่านได้ โดยเข้าใจได้ง่ายไม่ต้องสอบถามอะไรเพิ่มเติม และก็ยินดีที่จะช่วยดูเคสให้กันและกัน เป็นความเห็นที่ตรงกัน อันนี้ก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ทำให้การรักษาของเรามีคุณภาพใกล้เคียงกัน โดยมีมาตรฐานเดียวกัน แล้วก็มีความเข้าใจที่ตรงกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ แพทย์ที่รักษาในโรงพยาบาลเอส สไปน์ จะทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค เพราะว่าโดยปกติแล้วผู้ป่วย 1 คนอาจจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการรักษาที่ไม่เหมือนกัน และแพทย์ของเราก็มีความชำนาญที่แตกต่างกันไป ซึ่งการทำงานแบบทีมเวิร์คนี้จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างดีเยี่ยม โดยปกติแล้วการรักษาโดยทั่วๆ ไป แพทย์ทุกคนสามารถรักษาได้หมด แต่อะไรที่เป็นเฉพาะทางจริงๆ อาจจะมีข้อแตกต่างกันบ้าง การมีทีมเวิร์คที่ดีจะช่วยเหลือกันได้ ไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้น แต่เรายังมีทีมเวิร์คจากต่างประเทศร่วมด้วย ซึ่งทีมแพทย์ที่รักษาในโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เราจะมีการแชร์องค์ความรู้ของเราไปยังนานาชาติ ซึ่งเป็น Host Speaker ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน ทำให้แพทย์ทั้งไทยและต่างประเทศได้เข้ามาฝึกและดูงานที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ อีกทั้งยังมีที่ปรึกษาพิเศษผู้ที่คิดค้นเทคนิคการรักษาใหม่ก็ได้มาถ่ายทอดเทคนิคการรักษาที่นี่ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศไทย

เทคนิคการรักษาในโรงพยาบาลเอส สไปน์ เปรียบเสมือนขับรถ Formula 1 ดังนั้นผู้ขับจะต้องมีความชำนาญโดยเฉพาะ ปกติแล้วนักขับที่จะมาอยู่ร่วมทีมกับเรา จะต้องถูกส่งไปฝึกจนกว่าจะขับรถ Formula 1 ได้ ใช้อุปกรณ์ที่ดีที่สุดอย่างชำนาญสำหรับการรักษาในส่วนของกระดูกสันหลังได้เป็นอย่างดี จุดไหนที่เราเห็นว่าเป็นจุดที่เขายังขาดเราก็ส่งเสริมและสนับสนุนทุกรูปแบบให้เขาทำได้ เขาจะต้องเป็นนักขับรถ Formula 1 ที่เก่งที่สุด เช่นเดียวกับที่เขาต้องเป็นแพทย์ที่รักษาโรคกระดูกสันหลังที่ดีที่สุดที่เราเทรนได้ในปัจจุบันเพื่อเป็นนักแข่งรถ Formula 1 ที่ดีที่สุด

นพ.ดิตถพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า เทคโนโลยีเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดไม่มีที่สิ้นสุด แพทย์ที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ ก็เช่นกันเรามีโปรแกรมในการศึกษาต่อเนื่องเพื่อรับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ อย่างแรกคือ โปรแกรมส่งแพทย์ไปเรียนที่ต่างประเทศ ไม่ใช่เรียนการรักษาทั่วไป แต่เน้นเรียนกับเฉพาะบุคคลที่ชำนาญในด้านนี้จริงๆ หรือเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญการรักษาในด้านกระดูกสันหลังโดยเฉพาะ ซึ่งเรามีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าแพทย์ของเราจะมีโปรแกรมการเรียนอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา ซึ่งมันจะหล่อหลอมให้แพทย์ทุกท่านมี DNA เดียวกัน และความเข้าใจที่ตรงกัน โดยทุนนี้มาจากโรงพยาบาล ซึ่งเราได้นำรายได้ส่วนหนึ่งมา

พัฒนาบุคลากรของเราอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แค่ในส่วนของแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังพัฒนาทีมพยาบาลด้วยเช่นกัน ด้วยอุปกรณ์เครื่องมือที่ถูกพัฒนามาแบบใหม่ๆ หรือเทคนิคใหม่ๆ เราก็นำเข้ามาเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ แห่งนี้

ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าเราจะฝึกเทคนิคใหม่ๆ อย่างไร เราไม่ได้ฝึกกับผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเรามีเทคนิคการสอนพิเศษโดยเฉพาะของโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็จะส่งไปฝึกฝนที่ต่างประเทศ ให้เขามีความรู้ความเข้าใจในการรักษาโรคที่เกิดขึ้นได้ ดูเคสได้ เข้าช่วยเคสได้ รักษาเคสต่างๆ จนมีความชำนาญ แล้วค่อยกลับมารักษาที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ

นพ.ดิตถพงษ์ ยังทิ้งท้ายอีกว่าแม้ว่าเราจะเป็นโรงพยาบาลภาคเอกชน แต่งานวิจัยของเราก็มีอย่างต่อเนื่องในด้านการรักษา การฝึกเทคนิคใหม่ๆ ทั้งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ได้พัฒนาคุณภาพการรักษาให้เป็นโรงพยาบาลที่ทัดเทียมกับโรงพยาบาลชั้นนำอื่นๆ ในต่างประเทศจนมีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เป็นจำนวนมากและยังเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยอีกด้วย