วันเสาร์, เมษายน 20, 2024
Home > Cover Story > 55 ปี 3M ไทย จากวิทยาศาสตร์ สู่นวัตกรรม

55 ปี 3M ไทย จากวิทยาศาสตร์ สู่นวัตกรรม

หากเอ่ยถึงบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในไทยอย่างมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีหน้าสัมผัสที่คนไทยคุ้นชินผ่านสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าที่ใช้ภายในครัวเรือน อย่าง สก๊อตช์ไบร์ท แผ่นใยทำความสะอาด หรืออุปกรณ์สำนักงาน เช่น กระดาษโน้ต เทปกาว หลายคนคงนึกถึงแบรนด์ 3เอ็ม (3M) เป็นอันดับต้นๆ

สินค้าทั้งหมดของ 3เอ็ม นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชี้ให้เห็นว่า 3เอ็มเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการนำเอาวิทยาศาสตร์มาคิดค้นและพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็นนวัตกรรม โดยมีจุดมุ่งหมายหลักอยู่ที่การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น ช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตประจำวันสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยมากขึ้น พร้อมกับการมุ่งมั่นหล่อหลอมให้ 3เอ็มเป็นองค์กรที่มีความหลากหลาย ความเท่าเทียม และทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จุดแข็งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการปลดล็อกพลังและศักยภาพของพนักงาน เพื่อนำความคิดและวิทยาศาสตร์ไปสร้างนิยามใหม่ของความเป็นไปได้ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชันใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและช่วยแก้ปัญหาความท้าทายที่โลกกำลังเผชิญอยู่

นับแต่บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เป็นเวลา 55 ปีที่ 3เอ็มเติบโตและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย

ปัจจุบัน 3เอ็มได้นำวิทยาศาสตร์เข้ามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนตั้งแต่ครัวเรือนไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม

“ธุรกิจของ 3เอ็มมีด้วยกัน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจความปลอดภัยและอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ และกลุ่มธุรกิจผู้บริโภค ทำให้การใช้ชีวิตในทุกๆ วันของเราไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงไหนก็ตามจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ของ 3เอ็มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งชาว 3เอ็มมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นในหลากหลายมิติ” นางวิยะดา ศรีนาคนันทน์ ประธานบริหารบริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด บอกกับ “ผู้จัดการ 360 องศา”

ต้องยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของ 3เอ็มอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยโดยที่หลายคนอาจไม่ทันได้สังเกต หรือรู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดไม่ได้ถูกเรียกด้วยชื่อแบรนด์จริงๆ เช่น สก๊อตช์ไบร์ท หรือโพสต์-อิท รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จาก 3เอ็มอีกมากที่สอดแทรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันโดยที่เราไม่รู้ตัว

“3เอ็มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ 3เอ็มได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพกว่า 60,000 รายการทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย 3เอ็มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กว่า 20,000 รายการ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน ภาคธุรกิจ โรงเรียน โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม” วิยะดาขยายความ

ผลิตภัณฑ์ของ 3เอ็มกระจายอยู่ในหลายธุรกิจ เรียกได้ว่ามีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่สินค้าในครัวเรือนไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มสุขภาพ อุตสาหกรรมการผลิต ยานยนต์ ความปลอดภัย อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน โซลูชันเพื่อการพาณิชย์ คมนาคมขนส่ง ออกแบบและก่อสร้าง หรือกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนักเรียนนักศึกษา สำนักงาน การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล บ้าน การตกแต่งจัดระเบียบ การปรับแต่งรถยนต์เฉพาะบุคคล และ DIY

นอกจากจำนวนผลิตภัณฑ์กว่า 20,000 รายการที่วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ความก้าวหน้าของ 3เอ็มคือการสร้างนวัตกรรมใหม่ และสามารถจดสิทธิบัตรได้กว่า 3,000 รายการ

“เรามีนวัตกรรมใหม่ๆ ทุกปี โดยแต่ละปีเรามีการจดสิทธิบัตรมากกว่า 3,000 รายการ ในบางปีอาจจะมากกว่านั้น เรามีอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นเราจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ เราต้องคอยดูว่ามีความต้องการอะไรเกิดขึ้น หรือลูกค้าเจอความท้าทายอะไรบ้าง” วิยะดายกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น

ความท้าทายของลูกค้า สู่โจทย์สำคัญของ 3เอ็ม ที่กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร

จุดแข็งของ 3M Customer Inspire Innovation ต้นกำเนิดของสินค้าไม่ใช่การคิดค้นจากทีมงานของเรา เพราะบางทีที่เราคิดว่าสินค้าตัวนี้น่าจะดี หรือตอบโจทย์ แต่อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น Customer Inspire Innovation คือเราจะต้องฟังเสียงของลูกค้า เราเปรียบตัวเองเสมือนหนึ่งว่าเราเป็นลูกค้า เราพูดคุยกับเขา เรารู้ว่าความท้าทายของเขาคืออะไร และเอาเสียงของลูกค้ามาคิดค้นเป็นนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ช่วยให้เขาสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้คนปลอดภัยมากขึ้น ช่วยให้ชีวิตเราสบายมากขึ้น”

ในสถานการณ์ปกติ “ลูกค้าคือหัวใจสำคัญ” นับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของ 3เอ็ม หากย้อนไปในช่วงเวลาวิกฤตที่ไทยเจอโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 วิยะดาเล่าสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นว่า “หน้ากาก N95 หน้ากากอนามัยเป็นที่ต้องการของตลาด เราเพิ่มกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยในช่วงสถานการณ์โควิดตั้งแต่ปลายปี 2562-ปลายปี 2564 โดยเราผลิตเพิ่มจากเดิม 3 เท่าตัว หรือประมาณ 2,000 ล้านชิ้น ในเวลานั้นความต้องการหน้ากาก N95 มีสูงมาก เราไม่เปิดโอกาสให้ใครมาซื้อของของเราเพื่อเก็งกำไร เรามีหน่วยงานที่เป็นเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชีย และผู้ที่ต้องการซื้อจะต้องแจ้งความจำนงผ่านหน่วยงานนี้ เราเน้นขายให้ภาครัฐ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเท่านั้น ไม่ว่าต้นทุนการผลิตจะขึ้นมากน้อยแค่ไหน เราไม่เคยขึ้นราคา”

ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยแม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ไม่ใช่การฟื้นตัวในทุกระดับ และจากสภาพการณ์ของเศรษฐกิจในห้วงยามที่ผ่านมาอาจส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจในบางแง่มุมอยู่บ้าง แต่ผู้นำหญิงของ 3เอ็มมองว่า “ทุกบริษัทเจอความท้าทายจากปัจจัยภายนอกหมด เศรษฐกิจ Slow Down ปัญหาเรื่อง Supply Chain นี่คือความท้าทาย แต่ก็เป็นโจทย์ในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของเราเพื่อก้าวข้ามความท้าทายและเจริญเติบโต ทุกๆ ปีมีความท้าทายอยู่แล้ว แต่จะแตกต่างกันไป แต่พลังจากพนักงานของเรา วิทยาศาสตร์และการปรับตัว ปรับรูปแบบการดำเนินงาน เพราะฉะนั้นความท้าทายจึงไม่ใช่ปัญหา”

หลายบริษัทมักจะประเมินผลความสำเร็จการเติบโตของบริษัทจากตัวเลข ทั้งผลกำไรและรายได้ แต่วิยะดาไม่ได้มองประเด็นนั้น แต่กลับมีมุมมองที่น่าสนใจว่า

“การเติบโตของธุรกิจแม้จะไม่สามารถตอบเป็นตัวเลขได้ แต่เรามุ่งมั่นว่าเราจะต้องเติบโตต่อไป เติบโตสูงกว่าเศรษฐกิจในระดับมหภาค เรามองว่า เราจะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยดูว่าตลาดข้างนอกเป็นอย่างไร มีทิศทางการเติบโตอย่างไร ซึ่งจุดแข็งของเราคือพนักงาน แม้จะมีปัญหาจากปัจจัยภายนอก แต่พลังของพนักงานทำให้เราเจริญเติบโตได้”

55 ปีที่ผ่านมาของ 3เอ็ม ประเทศไทย และช่วงเวลานับจากนี้ การดำเนินธุรกิจภายใต้พันธสัญญาที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยในฐานะผู้บริโภคให้สะดวกปลอดภัยมากขึ้น จากการนำวิทยาศาสตร์มาพัฒนาและสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมใหม่ จะเป็นอย่างไรต่อไปน่าจับตาไม่น้อย.