วันศุกร์, มีนาคม 29, 2024
Home > Recreation > Travel in Style > ไปดูนกฟลามิงโก้ที่แคมปีเชีย

ไปดูนกฟลามิงโก้ที่แคมปีเชีย

หายไปพักใหญ่ครับ เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชีวิตครั้งใหญ่ ขออภัยที่ขาดตอน  อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์เม็กซิโก ที่จริง ยังมีที่เที่ยวในคาบสมุทรยูคาทานอีกหลายแห่งที่สวยงามและน่าสนใจ แต่ก็เกรงคุณๆ จะเบื่อซะก่อน เอาไว้มีโอกาสจะพากลับมาเที่ยวกันใหม่ครับ

กาลครั้งหนึ่งไม่นานนัก อาจารย์ชาวเวียดนามสัญชาติอเมริกันของผม เอารูปฝูงนกฟลามิงโก้จากเคนยามาอวด ลองคิดภาพตามนะครับ นกฟลามิงโก้สีชมพูนับแสนตัวชุมนุมกันอยู่บริเวณน้ำตื้นในทะเลสาบนาคูลู (Lake Nakuru) กลายเป็นปรากฏการณ์ทะเลสาบห่มผ้าห่มสีชมพู พลันที่ผมได้ชมภาพดังกล่าว ต่อมกระหายใคร่อยากชมของผมก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาในทันใด เสียดายที่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเคนยา เลยต้องเก็บความกระหายไว้ในส่วนลึกของหัวใจเอาไว้พลางๆ ก่อน

ระหว่างที่ผมวางแผนเดินทางในคาบสมุทรยูคาทาน ผมก็พบว่า แถวๆ นั้นก็มีฝูงนกฟลามิงโก้ให้ชมอยู่ถึง 2 แห่งด้วยกัน  คือเขตสงวนพันธุ์พีชและสัตว์แม่น้ำลาการ์ทอส (Reservade la Biosfera R?a Lagartos) ทางเหนือสุดของคาบสมุทรยูคาทาน และเขตสงวนระบบนิเวศชายฝั่งทะเลหรือแปลเป็นไทยแบบไม่รู้เรื่องว่า เขตสงวนชีวมณฑลซีเลสตุล (Celest?n Biosphere Reserve) ชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร

จากเมืองเมริดา (Merida) เมืองใหญ่ทางตะวันตกของยูคาทาน พวกเราตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปยังซีเลสตุล (Celest?n) เพื่อชมฝูงนกฟลามิงโก้กัน

ซีเลสตุลอยู่ห่างจากเมริดาไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ  80 กิโลเมตร จะขับรถไปเองก็ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ จะนั่งรถประจำทางไปก็ประหยัดดี หรือจะซื้อทัวร์ไปจากเมืองเมริดาก็ไม่ผิดกติกาใดๆ ที่จริงพวกเราอยากจะพักอยู่ที่เมืองนี้สักคืนหนึ่ง  เพราะได้ยินมาว่า เมืองหมู่บ้านประมงแสนสงบแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่นกฟลามิงโก้เท่านั้น หาดทรายสวย อาหารทะเล ชีวิตชาวประมงแสนเรียบง่าย และที่สำคัญที่สุดป่าโกงกาง แหล่งที่อาศัยของสรรพสัตว์และพืชนานาชนิด ต่างๆ นานาเหล่านี้ทำให้พวกเราอยากลองใช้เวลาที่นี่ให้มากกว่าหนึ่งวัน เสียดายที่แผนเดิมของพวกเราต้องขับรถต่อไปพักค้างคืนที่เมืองแคมปีเชีย (Campeche) แล้วเราก็ค้นพบภายหลังว่า เราน่าจะตัดสินใจค้างคืนที่ซีเลสตุลมากกว่า

เราไปถึงเขตสงวนซีเลสตุลไม่สายนัก สาวๆ ในกลุ่มไม่ค่อยถูกกับแดดนัก หากมาสายๆ หรือบ่ายๆ อาจได้กลายเป็นแรคคูน หน้าดำ รอบตาขาว เนื่องจากใส่แว่นกันแดดกันเสียเปล่าๆ

การเข้าชมนกฟลามิงโก้ จะต้องเดินทางเข้าไปทางเรือ ซื่งสามารถเหมาลำเรือพร้อมไกด์ได้ที่ทางเข้าของเขตสงวน สนนราคาก็ไม่ถูกไม่แพง เรือนั่งได้หกคน ราคา 1,250 เม็กซิกันเปโซ หรือราวๆ 3,000 บาท พาชมนกชมไม้ชั่วโมงครึ่ง หากคิดว่ายังไม่สะใจเพิ่มเวลาเป็น 2 ชั่วโมง ก็เพิ่มเงินอีกเพียง 600 บาท ถ้าไปไม่ถึง 6 คน ก็รวมๆ นักท่องเที่ยวแถวนั้นไปได้จะได้ประหยัด

ตกลงเช่าเหมาเรือกันได้ ก็ก้าวลงเรือ เตรียมตัวออกชมความงามสีชมพูกัน เรือวิ่งออกไปจากท่า ชมนกชมป่าชายเลนรอบๆ พอเพลินๆ ก็เริ่มเห็นสีชมพูเรื่อๆ อยู่ตรงหน้า ไกด์ (และคนขับในคนคนเดียวกัน) ขับเรือพาเราเข้าไปใกล้ฝูงนกฟลามิงโก้พอสมควร กฎกติกามารยาทของการชมนกที่นี่คือ ไม่เข้าใกล้นกจนเกินไป เพราะถ้าเข้าใกล้จนฝูงนกรู้สึกถูกคุกคามบ่อยๆ อาจจะอพยพย้ายถิ่นกันไปเลยทีเดียว ถ้าหากคุณไปเที่ยวชมนกที่นี่หรือที่ไหนๆ แล้วไกด์พยายามจะพาคุณเข้าใกล้นกให้มากๆ เพื่อหวังแลกกับทิปที่มากขึ้น ตามประสาไกด์ท้องถิ่นในประเทศกำลังพัฒนาแล้วละก็ คุณก็น่าจะเตือนเขาเบาๆ ว่าอย่าเข้าใกล้เลย  เดี๋ยวจะกลายเป็นการฆ่าไก่กะจะเอาไข่ทองคำ สุดท้ายจะไม่เหลืออาชีพให้หาเลี้ยงตนเองและครอบครัว

ฝูงนกฟลามิงโก้บนคาบสมุทรยูคาทานนี้ จัดว่าเป็นฝูงที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเลยทีเดียว ประมาณกันว่า มีนกฟลามิงโก้บนคาบสมุทรนี้ราวๆ 25,000 ตัว โดยเมื่อก่อนนกฟลามิงโก้จะอาศัยอยู่แต่บริเวณแม่น้ำลาการ์ทอสเท่านั้น หลังจากเฮอริเคนกิลเบิร์ท (Hurricane Gilbert) พายุเฮอริเคนระดับความรุนแรง 5 ถล่มคาบสมุทรนี้ในปี ค.ศ. 1988  นกฟลามิงโก้ก็เริ่มปรากฏตัวที่ซีเลสตุล ปัจจุบันซีเลสตุล เป็นแหล่งจับคู่ และประกอบกิจกรรมสืบสานเผ่าพันธุ์ของนกฟลามิงโก้ฝูงนี้ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว นอกช่วงฤดูผสมพันธุ์ พวกมันบางส่วนจะกลับไปใช้ชีวิตและให้กำเนิดฟลามิงโก้น้อยบนหาดทรายแม่น้ำลาการ์ทอส

คุณไกด์พาพวกเราไหลล่องตามฝูงนกฟลามิงโก้ไปเรื่อยๆ พวกมันจะเกาะกลุ่มกันอยู่บริเวณน้ำตื้นๆ ยืนขาเดียว เก็บคอ งออีกขาเก็บไว้ เหมือนที่เราเห็นอยู่ตามสวนสัตว์ แต่ที่นี่กลุ่มหนึ่งมีหลายสิบถึงเป็นร้อยตัว ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็เห็นจะเป็นตอนที่พวกมันกระพือปีกขึ้นบินพร้อมๆ กันทั้งกลุ่ม ผมไม่รู้ว่าพวกมันรำคาญพวกเราหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นก็คือ คุณไกด์พยายามใช้เครื่องยนต์ให้น้อยที่สุด เร่งเครื่องเป็นช่วงๆ เพื่อให้เรือไหลเรื่อยไปเพื่อที่จะไม่เป็นการรบกวนฝูงนกจนมากเกินไป คุณไกด์บอกอีกว่า ถ้าอยากเห็นมหกรรมการบินของนกฟลามิงโก้ ต้องมาตอนเช้าตรู่หรือตอนอาทิตย์จะตกดิน พวกมันจะบินออกและบินกลับรังกันทั้งฝูง ประโยคบอกเล่าดังกล่าวช่างกระตุ้นต่อมอยากเห็นของผมเสียนี่กระไร

เฝ้าดูความงามสีชมพูอยู่เกือบชั่วโมง เมมโมรีการ์ดรับงานหนักบรรจุภาพฟลามิงโก้ล้วนๆ จนเต็มไปหลายแผ่นแล้ว คุณไกด์ก็ชักชวนพวกเราไปที่อื่นต่อ เพราะทัวร์นี้ยังไม่จบ พวกเรายังได้ชมระบบนิเวศป่าชายเลนของที่นี่ บางส่วนของป่าชายเลนถูกจัดเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ มีท่าเทียบเรือ ทางเดินและบันไดไม้รอบๆ ให้เดินชมธรรมชาติ นอกจากฟลามิงโก้แล้ว ระบบนิเวศป่าชายเลนที่นี่ยังเป็นที่อาศัยของนกอื่นอีกประมาณ 200 สายพันธุ์ คุณไกด์ชี้นกชมไม้อยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลาลาจากกันเสียแล้ว

เรือพาเรากลับมายังท่าที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเดินทางสีชมพูของพวกเรา ความทรงจำสีหวานๆ ยังคงอุ่นๆ อยู่ในเมมโมรีการ์ด นี่คงไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้ายของการเผชิญหน้ากับนกฟลามิงโก้ของผมแน่นอนครับ

 

ธนะวัฒน์ ลิขิตคีรีรัตน์ เขียน