วันอังคาร, กันยายน 17, 2024
Home > PR News > เชลล์ส่งต่อวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนน สร้างสรรค์สื่อการสอน ปลูกฝังเยาวชนไทย

เชลล์ส่งต่อวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนน สร้างสรรค์สื่อการสอน ปลูกฝังเยาวชนไทย

ในแต่ละปีประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นจำนวนมาก และคาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หากไม่มีการลงมือป้องกันแก้ไขที่จริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กวัยประถมที่มีความเสี่ยงจากการต้องเริ่มเดินทางด้วยตนเองและใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น หนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยป้องการการเกิดอุบัติเหตุคือการให้ความรู้ด้านความปลอดภัยในการเดินทางที่เหมาะสม ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะชีวิตที่จำเป็นสำคัญที่ควรปลูกฝังตั้งแต่เยาวชน เชลล์ บริษัทพลังงานที่มีวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัยที่เข้มแข็ง จึงได้สานต่อความร่วมมือด้านความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง กับศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้โครงการ Shell School Road Safety ปลอดภัยทุกย่างก้าว จากบ้านถึงโรงเรียน ด้วยการพัฒนาสร้างทักษะและปลูกฝังการตระหนักรู้ เรื่องการเดินทางทางท้องถนนอย่างปลอดภัย ผ่านชุดสื่อบอร์ดเกมเสริมสร้างทักษะความปลอดภัยบนท้องถนน ให้กับคุณครูและนักเรียนวัยประถม ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับความสนุกสนานผ่านสถานการณ์จำลองที่อาจจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน

นางสาวอรอุทัย ณ เชียงใหม่ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “การส่งมอบพลังงานคุณภาพสูงและคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของเชลล์ เรามีวัฒนธรรมความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ที่มีอยู่ใน Heart & Mind ของพนักงานเชลล์ ครอบครัว ตลอดจนคู่ค้าที่ร่วมงานกับเชลล์ทุกคน ด้วยเป้าหมายที่จะให้ทุกคนกลับบ้านไปหาคนที่คุณรักอย่างปลอดภัยในทุก ๆ วัน เชลล์จึงร่วมมือกับศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็กฯ เพื่อส่งต่อวัฒนธรรมและสร้างสังคมแห่งความปลอดภัยให้เกิดขึ้นจริง ผ่าน โครงการ Shell School Road Safety ปลอดภัยทุกย่างก้าวจากบ้านถึงโรงเรียนที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

โครงการนี้เน้นการปลูกฝังผ่านกิจกรรมบอร์ดเกมที่มีการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ไว้ ให้เด็ก ๆ ได้ออกแบบการเดินทางอย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง ภายใต้หัวข้อ ‘8 ทักษะเดินทางปลอดภัยวัยประถมจากบ้านถึงโรงเรียน’ เพื่อสนับสนุนการเปิดอิสระทางความคิดระหว่างคุณครูและนักเรียนผ่านสื่อการเรียนรู้ที่เชลล์มอบให้ โดยมีการจัดอบรมให้ทั้งคณะครูและนักเรียนในโรงเรียนและสถานศึกษาต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบคลังน้ำมันเชลล์ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าอบรมคุณครูและนักเรียนกว่า 2,000 คน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและยกระดับความปลอดภัยให้แก่สังคมโดยรวม”

ทั้งนี้ สถิติจากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้ให้เห็นถึงอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ในปี 2566 ของกลุ่มเยาวชนอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 15 ปีว่า อัตราการสวมหมวกนิรภัยคิดเป็น 5.1% และอัตราการคาดเข็มขัด นิรภัย คิดเป็น 5.23% ของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในอนาคตจะมีเด็กและเยาวชนไทยสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากถึง 40,421 คน หรือเฉลี่ยปีละ 3,675 คน

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “จากปัญหาดังกล่าว ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็กฯ จึงได้ร่วมพัฒนาโครงการ Shell School Road Safety ปลอดภัยทุกย่างก้าวจากบ้านถึงโรงเรียน
กับเชลล์มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้เพิ่มความสร้างสรรค์ด้วยการออกแบบสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบบอร์ดเกม 3 ชุด ครอบคลุมเรื่องอุปกรณ์การเดินทางขั้นพื้นฐาน ความเข้าใจตำแหน่งที่ปลอดภัยระหว่างการเดินทาง และการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อให้เยาวชนได้รับความรู้เพื่อพัฒนาทักษะจำเป็นในการเดินทางบนบกและการโดยสารทางน้ำในชีวิตประจำวัน ผ่านตัวอย่างสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเด็ก ๆ จะได้รับทั้งความสนุกจากการเลือกตัวช่วยที่ทำให้ตนเองเดินทางปลอดภัย เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม มีการอบรมและวัดระดับความรู้ก่อนและหลัง พร้อมกิจกรรมภาคปฏิบัติ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้”

กิจกรรมนี้มีโรงเรียนรอบสถานประกอบการคลังน้ำมันเชลล์เข้าร่วมทั้งสิ้น 14 แห่ง โดยหนึ่งในนั้นคือโรงเรียนวัดคลองเตย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้คลังน้ำมันเชลล์ ช่องนนทรี โดยนางสาวยุภาวดี พันธัง ครูวิทยฐานะชำนาญการ โรงเรียนวัดคลองเตย จ.กรุงเทพมหานคร เล่าว่า “เด็กในวัยประถมจะเรียนรู้ได้ดีจากการเล่น การใช้บอร์ดเกมซึ่งผสมผสานเกมและความรู้เข้าด้วยกันเป็นสื่อการสอน ช่วยกระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมของเด็กได้เป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงมากกว่าการสอนแบบเดิม สื่อที่มีภาพสีสันสดใสและคำอธิบายที่เข้าใจง่าย ยังช่วยดึงดูดให้เด็ก ๆ สนใจเรียนรู้ พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งนอกจากได้รับความรู้แล้ว เด็ก ๆ ยังได้รับความสนุกสนาน การทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นทีม และได้รับการปลูกฝังวินัยในการใช้รถใช้ถนนที่ดีควบคู่กันไปด้วย”

ด.ช.ชัยศิริ สาวิไศย (น้องมิวสิค) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดคลองเตย จ.กรุงเทพมหานคร เล่าถึงประสบการณ์ ว่า “ผมเพิ่งเคยเล่นเกมแบบนี้เป็นครั้งแรก เกมสนุกมาก ผมคิดว่าความรู้ที่ได้จากเกมนี้จะเป็นประโยชน์กับการเดินทางในชีวิตประจำวันของผมอย่างมาก เมื่อตอนเด็ก ๆ ผมเคยถูกรถชน เพราะไม่ระวังและไม่ค่อยข้ามถนนที่ทางม้าลาย แต่ตอนนี้ผมเข้าใจเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนมากขึ้น จึงทำให้เดินทางมาโรงเรียนได้อย่างปลอดภัยขึ้น นอกจากนี้ ความรู้เรื่องความปลอดภัยอื่น ๆ เช่น การขึ้นเรือหรือการใช้รถไฟฟ้าที่ได้จากการเล่มบอร์ดเกม อาจจะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ แต่ผมเชื่อว่าในอนาคตต้องได้ใช้แน่นอน การเรียนรู้ล่วงหน้าจะช่วยให้ผมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างมั่นใจ ผมตั้งใจจะนำความรู้เหล่านี้ไปบอกต่อกับเพื่อน ๆ และคนในชุมชน เพื่อให้เดินทางได้อย่างปลอดภัยเหมือนผม”

ด้าน ด.ญ.วริศรา แดงชูชาติ (น้องต้นหอม) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบางน้ำผึ้งนอก จ.สมุทรปราการ ก็ได้เล่าให้ฟังว่า “ปกติก็ชอบเล่นเกมและทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของการแข่งขันก็ยิ่งชอบ เพราะได้เล่นกับเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ด้วย บอร์ดเกม 8 ทักษะไม่เพียงแต่สนุกสนาน แต่ยังให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทาง ทำให้จำวิธีเดินทางให้ปลอดภัยได้ง่าย โดยไม่ต้องท่องจำจากหนังสือ ในแต่ละวันเวลาพ่อมารับ-ส่งมาโรงเรียน พ่อมักจะไม่สวมหมวกกันน็อคเลย หลังจากได้เล่นบอร์ดเกมนี้ หนูเลยมองเห็นความสำคัญของหมวกกันน็อคที่เหมือนเป็นเกราะป้องกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และตั้งใจจะบอกพ่อกับแม่ให้สวมหมวกกันน็อคทุกครั้งที่ขี่มอเตอร์ไซค์ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ในครอบครัว”

“เชลล์มุ่งหวังที่จะให้เยาวชนนำความรู้ที่ได้จากโครงการไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย และส่งต่อองค์ความรู้ที่ได้นี้โดยเริ่มต้นจากคนในครอบครัวไปสู่สังคมวงกว้าง อันจะช่วยส่งเสริมให้เป็นสังคมแห่งความปลอดภัยได้อย่างยั่งยืน” นางสาวอรอุทัย กล่าวทิ้งท้าย