วันศุกร์, มีนาคม 21, 2025
Home > Cover Story > อลอฟท์ ปรับโฉมดีไซน์ สู่ Destination กลางเมือง

อลอฟท์ ปรับโฉมดีไซน์ สู่ Destination กลางเมือง

จากจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2567 ที่เดินทางเข้าไทยมากกว่า 30 ล้านคน และสร้างรายได้ให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท มีการคาดการณ์ว่าในปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวอาจจะเพิ่มสูงถึง 39.4 ล้านคน จากการกลับมาของกลุ่มทัวร์จีนและนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลาง รัสเซีย อิสราเอล และอินเดีย ซึ่งมีกำลังซื้อสูง และน่าจะสร้างรายได้ให้ไทยมากถึง 2 ล้านล้านบาท

SCB EIC คาดการณ์ว่า ปี 2568 ธุรกิจโรงแรมจะมีแนวโน้มเติบโตเล็กน้อย จากสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยที่กลับสู่ภาวะปกติ แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันสูง จากซัปพลายห้องพักที่ทยอยเปิดให้บริการ

ขณะที่กรุงเทพมหานครสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลก ด้วยการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในปี 2024 จำนวน 32.4 ล้านคน จากรายงานของ Euromonitor International บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำระดับโลก

ตัวเลขจากปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่ากรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โรงแรมอลอฟท์ (Aloft) ในเครือแมริออท ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 11 ตัดสินใจปรับโฉมรีโนเวตโรงแรมหลังเปิดให้บริการมา 13 ปี

ถนนที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความพลุกพล่าน และแน่นขนัดไปด้วยโรงแรมและร้านอาหาร ผับ บาร์ ในสายตาของผู้ไม่คุ้นเคยอาจสร้างให้เกิดความรู้สึกระแวดระวัง ทว่า โรงแรมอลอฟต์กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“เราเป็นหนึ่งใน 30 แบรนด์ของแมริออท เป็นโรงแรมแบบ Select Service เราเปิดมา 13 ปี ถึงเวลาที่ควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ทุกแบรนด์ของแมริออทจะมีการพัฒนา มีวิวัฒนาการ” ดวงใจ รุ่งเรืองอารี ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม อลอฟท์ ให้ข้อมูล ก่อนจะขยายความถึงแนวคิดการออกแบบว่า

“เรานำเอาความเป็นกรุงเทพฯ ความสนุกของซอยสุขุมวิท 11 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม ผ่านการออกแบบ ล้อเลียนสายไฟรกๆ ที่มีให้เห็นอยู่ทั่วกรุงเทพฯ รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราววัฒนธรรมอันหลากหลายของกรุงเทพฯ เช่น เสาชิงช้า ที่สะท้อนถึงพลังแห่งประวัติศาสตร์และความสำคัญในฐานะสถานที่ประกอบพิธีกรรมโบราณ หรือ วัดอรุณราชวราราม เจดีย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หมุดหมายสำคัญของการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ งานศิลปะที่สะท้อนถึงความงดงามและความสงบท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แนวคิดเหล่านี้จะถูกบอกเล่าผ่านงานดีไซน์ทั่วโรงแรม การเพนต์บนฝาหนังในห้องพัก รวมถึงการใช้เทปคาสเซตต์ ขลุ่ย ลำโพง ในการตกแต่งตามจุดต่างๆ นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึง อลอฟท์ที่เป็นเจนใหม่ ดีไซเนอร์จึงนำเครื่องดนตรีมาตกแต่ง ร้อยเรียงให้เป็นเหมือนจังหวะดนตรี”

ด้วยทำเลที่ตั้งในซอยสุขุมวิท 11 ที่มีจำนวนโรงแรมอยู่อย่างหนาแน่น ถือว่านี่เป็นเวทีประลองกำลังของธุรกิจโรงแรมอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยแทรฟฟิกของจำนวนนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ทุกโรงแรมต้องสร้างจุดแข็งและหาทางเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้ตัวเอง

“พื้นที่นี้มีการแข่งขันที่สูงอยู่เป็นทุนเดิม การตัดสินใจปรับโฉมของอลอฟท์จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันได้เป็นอย่างไร เราต้องปรับโรงแรมให้มีความทันสมัย สร้างมาตรฐานการให้บริการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าที่นี่เหมาะกับการพักผ่อน แม้ว่าจะอยู่กลางเมือง แต่ยังสามารถดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้บริการได้”

หลังสถานการณ์โควิด ทำให้หลายธุรกิจเริ่มปรับแผนโดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ที่จะให้ความสำคัญหรือพยายามที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าคนไทยมากขึ้น อลอฟท์ก็เช่นเดียวกัน ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และต้องการที่จะเติบโตในตลาดคนไทยมากขึ้น

“ลูกค้าของอลอฟท์ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ 80 เปอร์เซ็นต์ และคนไทย 20 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากโควิด เรามีการเติบโตในกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว เรายังมีลูกค้าในกลุ่มนักธุรกิจ เพราะด้วยทำเลที่เราตั้งอยู่ใจกลางเมืองทำให้ลูกค้าที่เลือกเรา สามารถเดินทางได้สะดวก ขณะที่ลูกค้ากลุ่มครอบครัว จะเข้าพักกับเราเหมือนเป็นฮับ ก่อนจะเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย

สิ่งที่เป็นเสมือนนโยบายจากเครือแมริออทคือ การที่ธุรกิจโรงแรมจะต้องสร้างความเชื่อมโยงกับธุรกิจในท้องถิ่นนั้นๆ ดวงใจขยายความว่า “การเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆ ในท้องถิ่น ชุมชน เหมือนเป็นภารกิจสำคัญ เช่น การเลือกวัตถุดิบในการประกอบอาหาร เครื่องดื่ม เราจะเลือกจากในไทย คัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพจากท้องถิ่นที่มีความโดดเด่น เช่น ข้าว เราซื้อมาจากจังหวัดอุดรธานี และสั่งโดยตรงกับเกษตรกร พยายามที่จะตัดตอนคนกลางเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น นี่เป็นนโยบายของเราและของแมริออท

โดยในปีที่ผ่านมา เรามีแผนกจัดซื้อที่เลือกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และเราไม่ได้ทำเพื่อเป็นการตลาดสำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารสำหรับพนักงานของเราด้วย

นอกจากนี้ เรายังมีนโยบายลด Food Waste เราจะทำปริมาณอาหารให้พอดี ไม่ให้เหลือทิ้งในปริมาณมากๆ และเสริมด้วยการแปรรูปเปลือกผลไม้ให้เป็นของกินเล่น ส่วนอาหารที่ปรุงแล้ว เช่น ในไลน์บุฟเฟต์ ที่เหลือ เราทำงานร่วมกับ SOS (Scholars of Sustenance Thailand) มูลนิธิกอบกู้อาหารส่วนเกินจากภาคธุรกิจ ด้วยการส่งต่ออาหารไปยังชุมชน”

การบริหารจัดการโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่อยู่ภายใต้เครือแมริออท ที่มีมาตรฐานระดับสูงที่ต้องทำตาม อาจไม่ง่ายนัก แต่ดวงใจบอกว่า นี่เป็นจุดที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับอลอฟท์ได้

“ความเป็นแมริออทช่วยให้เรากำหนดมาตรฐานการบริการได้ เพราะต้องอยู่ภายใต้สแตนดาร์ดเดียวกัน นี่เป็นจุดขายที่แข็งแรง และจะช่วยให้ลูกค้ามีความเป็น Royalty มาก เพิ่มฐานลูกค้าได้ และแม้ว่าเราจะมีมาตรฐานระดับสูงที่ต้องทำตาม แต่แมริออทจะดูแลพนักงานเป็นอย่างดี พนักงานที่นี่ไม่ใช่แค่เป็นพนักงานของอลอฟท์ แต่เป็นครอบครัวของแมริออท เราจะพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นคนของแมริออท ทำให้พนักงานอยากจะเติบโตขึ้นไป บางคนอาจจะสามารถก้าวหน้าไปเติบโตในแมริออทเครือใหญ่ได้”

นอกจากนี้ ดวงใจยังเผยแผนที่จะเซ็น MOU กับสถาบันการศึกษา ภาควิชาการโรงแรม เพื่อคัดเลือกนักศึกษาให้เข้ามาทดลองงาน ฝึกงาน ในโรงแรมของเครือแมริออท ทำให้นักศึกษาได้พัฒนาศักยภาพ ความสามารถ โดยมองว่า นักศึกษาภาควิชาการโรงแรมจะเก่งได้ต้องมีการฝึกปฏิบัติจริง มากกว่าการเรียนแค่ทฤษฎี

ก่อนจะทิ้งท้ายถึงเป้าหมายของ อลอฟท์ ว่า “เราอยากจะสื่อสารให้ทุกคนได้รับรู้ว่า เราอยู่มา 13 ปี มีการปรับโฉมใหม่เพื่อมีกลุ่มลูกค้ามากขึ้น เป้าหมายในระยะยาวคือ เราต้องเติบโตให้ได้มากกว่านี้ ขยายกลุ่มลูกค้าไปนอกเหนือจากลูกค้าจากอเมริกา โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่ม MICE ที่สำคัญคือ เราอยากจะติดตลาดในเอเชียแปซิฟิก”.