Home > Suwatcharee Pormbunmee

ผลกระทบสงครามการค้า 2.0 สั่นคลอนเศรษฐกิจไทย

นับตั้งแต่การก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ และใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร เปิดฉากสงครามการค้า โดยเริ่มจากสินค้านำเข้าจากจีน หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ สหรัฐฯ เสียดุลการค้ากับจีนราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ข้อมูลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ พบว่า มีมูลค่าสูงถึง 5.85 แสนล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 20.3 ล้านล้านบาท โดยสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากจีน 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพียง 1.45 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากทรัมป์ คงพอจะคาดเดาได้ว่า มีความพยายามจากอีกขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ลง หรือที่เรียกว่า DE-Dollarization บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญมากมายเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เงินดอลลาร์จะเสื่อมค่า การตอบโต้กันไปมาระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้ไทยได้อานิสงส์จากความขัดแย้งในบางอุตสาหกรรม เพราะไทยสามารถส่งออกสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้าของทั้งสองประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและสหรัฐฯ นั่นทำให้ภาคส่งออกและการลงทุนของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมไทยบางกลุ่มมีการขยายตัว เช่น คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ภาคก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง แต่หากจะบอกว่า ไทยรอดพ้นจากสงครามการค้าในครั้งนี้คงไม่ถูกนัก เมื่อทุกประเทศจะต้องเจอกับอัตราภาษีพื้นฐานของสหรัฐฯ

Read More

29 ปี รพ. นครธน เติบโตบนก้าวที่มั่นคง

โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ชั้นนอกของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกอย่างโรงพยาบาลนครธน ที่เกิดขึ้นจากเจตนารมณ์ของครอบครัว “ทองสิมา” และเครือญาติ ในปี พ.ศ. 2536 ที่มองว่า การทำโรงพยาบาลก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการทำบุญ เนื่องจากต้นตระกูลอย่าง “ถนอม” มารดาของ รศ.ญาณเดช ทองสิมา เป็นคนชอบทำบุญ หลังจากแบ่งปันที่ดินขนาด 500 ไร่ ให้เช่าทำห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม การทำโรงพยาบาลแบบไร้ประสบการณ์ แต่ได้พาร์ตเนอร์อย่างโรงพยาบาลบางโพ ในช่วงแรก กระทั่งโรงพยาบาลนครธนสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2539 ด้วยเงินลงทุน 200-300 ล้านบาท ปัจจุบันโรงพยาบาลนครธนดำเนินธุรกิจและตั้งตระหง่านอยู่บนถนนพระราม 2 มายาวนานเกือบ 30 ปี จากโรงพยาบาลจำนวน 150 เตียง และการเติบโตแบบออแกนิก ผู้เข้าใช้บริการที่รู้สึกพึงพอใจเป็นเรื่องบอกเล่าปากต่อปาก จนในที่สุดก็ถึงเวลาแห่งความพร้อมที่จะขยายตัว ไปสู่ 2 โครงการใหญ่ โรงพยาบาลนครธน 2 และโครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ (Nakornthon Long Life

Read More

เสียงสะท้อนจาก “แสงแรก” โลกมืดที่ต้องใช้หัวใจดู

แม้ว่าทุกวันนี้โลกจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เศรษฐกิจซบเซา สงครามการค้า ภัยพิบัติต่างๆ กระนั้น วิกฤตเหล่านี้ยังมีแง่มุมที่สวยงามให้เห็น แต่โลกของคนอีกกลุ่มหนึ่ง กลับมืดสนิทและไม่สามารถมองเห็นได้ นอกจากใช้จินตนาการจากการฟัง ประเทศไทยมีผู้พิการทางการมองเห็นนับแสนคน โดยจำนวนหนึ่งจะได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในด้านฝึกอาชีพ พัฒนาศักยภาพ ความรู้ความสามารถ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต “เราเป็นมูลนิธิช่วยคนพิการแห่งแรกในไทย นอกจากการฝึกอาชีพแล้ว เรายังเสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันให้สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขเฉกเช่นคนปกติทั่วไป ตลอดระยะเวลาของการดำเนินการของมูลนิธิฯ กว่า 86 ปี เราต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งความช่วยเหลือที่ได้รับมีหลายทาง รวมถึงโอกาสในการสร้างอาชีพเพื่อหารายได้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิตของคนตาบอดมากที่สุด” เสาวณี สุวรรณชีพ ประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ผู้พิการในไทยยังคงต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ที่แม้ภาครัฐจะมีแผ่นปูทางเดินสำหรับผู้พิการทางการมองเห็น แต่บางจุดลักษณะการปูแผ่นทางเดินไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งาน “เราต้องการสร้างการรับรู้ให้แก่สังคม สร้างความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญในการสนับสนุนผู้พิการทางการมองเห็น โดยมุ่งเน้นในการสร้างการมีส่วนร่วมจากบุคคลทั่วไป ภาคธุรกิจ องค์กร ภาครัฐ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สนับสนุนและสังคมได้รับทราบถึงการขับเคลื่อนพันธกิจหลักของมูลนิธิฯ เราจึงจัดโครงการ ปิดตา เปิดใจ Open Mind Together ซึ่งมีกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้พิการทางการมองเห็นได้แสดงออกด้านทักษะ และความสามารถ” แสงแรก

Read More

ความเสี่ยงอุตสาหกรรมอาหาร กับกำแพงภาษีสงครามการค้า 2.0

ทั่วโลกกำลังจับตามองสถานการณ์สงครามการค้า 2.0 ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เปิดฉากอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนว่าแนวทางการเปิดฉากสงครามจะดุเดือดมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ต้นเหตุน่าจะมาจากความง่อนแง่นทางเสถียรภาพทางการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่เข้าใกล้คำว่า “ถังแตก” เต็มที จากหนี้ที่ต้องแบกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ คือ ญี่ปุ่น มูลค่าหนี้ 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีน มูลค่าหนี้ 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหตุผลดังกล่าว น่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพความมั่นคงในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลก ทว่าสงครามการค้าในครั้งนี้ สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นต่อเช่นที่ผ่านมา เหมือนการขว้างบูมเมอแรงออกไปยิ่งแรงเท่าไร ยิ่งสะท้อนกลับมาแรงและหนักเป็นเท่าตัว เมื่อสหรัฐฯ เริ่มเกมด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% การตอบโต้อย่างสาสมจากผู้นำแดนมังกร ที่ดูจะไม่สะทกสะท้าน และยังคงท้าทายอำนาจมืดจากซีกโลกตะวันตกชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่หวั่นเกรง พร้อมแลกแบบหมัดต่อหมัด ด้วยการตอบโต้กลับโดยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15%  ในยกแรก และหลังจากนั้นเรายังได้เห็นการตอบโต้กันด้วยการเพิ่มอัตราภาษีอย่างต่อเนื่องจากทั้งสองประเทศ ในขณะที่ไทย แม้จะยังไม่ได้เลือกข้างอย่างชัดเจน แต่กลับต้องโดนกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งใส่เช่นกัน รัฐบาลไทยวางแผนการเจรจาหลังสิ้นสุดเทศกาลสาดน้ำดับร้อน โดยหวังว่าผลของการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐจะช่วยดับไฟสงครามไม่ให้ลุกลามมายังดินแดนด้ามขวาน อุตสาหกรรมของไทยที่น่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ คือ อุตสาหกรรมอาหารที่พบว่ายังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง ข้อมูลล่าสุดปี

Read More

Investic ติดอาวุธนักลงทุน ด้วย General AI

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนและพัฒนาให้มีความฉลาด สามารถคิดวิเคราะห์ วางแผน ตัดสินใจได้ โดยการประมวลผลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถดัดแปลงการประมวลผลประยุกต์ให้เป็นไปตามสถานการณ์ต่างๆ ได้ ปัจจุบัน Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ด้วยราคา และความง่ายในการใช้งาน และงานที่มีการทำงานเป็นรูปแบบสามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทำแทนมนุษย์ได้ เช่น งานบัญชี การเงิน การลงทุน หรือแม้แต่งานที่ซับซ้อน ที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ ก็สามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้ทำงานแทนได้เช่นกัน บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มาพัฒนาให้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกแก่นักลงทุน เช่นเดียวกับที่ วิธาน มีนาภินันท์ ผู้ก่อตั้ง Investic ใช้ AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างบทวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับนักลงทุนรายย่อย “ในยุคที่ตลาดมีความผันผวนสูง นักลงทุนที่ใช้ General AI สามารถวิเคราะห์แนวโน้มตลาด คาดการณ์ความเสี่ยง และช่วยในการตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น นี่จะเป็นกุญแจสำคัญของการลงทุนยุคใหม่ ที่ก้าวข้ามการใช้ Quant Model และ

Read More

ธุรกิจสายวาย มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ซีรีส์-หนังสือ ต่อยอดซอฟต์พาวเวอร์

การเปิดกว้างทางสังคมยอมรับความหลากหลายทางเพศน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดซีรีส์-หนังสือสายวายมีการเติบโตกระทั่งมูลค่าตลาดสูงหลายพันล้านบาท ไทยรับอิทธิพลซีรีส์สายวายมาจากป๊อปคัลเจอร์ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคำว่า “วาย” มาจากการ์ตูนประเภทยาโออิ (YAOI) ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการ์ตูนตาหวานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ที่เนื้อหาจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์แบบคู่รักชายหญิงทั่วไป เพียงแต่เป็นในแบบฉบับของชายและชาย หรือ ยูริ (Yuri) ความรักระหว่างหญิงและหญิง ต้องบอกว่าในช่วงแรกการ์ตูนสายวายไม่ได้รับการยอมรับในทันที เพราะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสื่อลามกอนาจาร ผิดกฎหมาย แต่หลังจากได้รับความนิยมในกลุ่มนักอ่านจึงทำให้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นแอนิเมชันและซีรีส์ ขณะที่สาววาย หรือกลุ่มคนที่มีรสนิยมชื่นชอบการเสพสื่อแนวชายรักชาย ก็ไม่ได้รับการยอมรับเช่นเดียวกัน และการที่การ์ตูนสายวายเป็นที่ชื่นชอบในหมู่สาวๆ น่าจะเป็นเพราะรูปแบบสังคมปิตาธิปไตย ประกอบกับสื่อที่มีการนำเสนอผู้หญิงในฐานะของวัตถุทางเพศ การ์ตูนสาววายจึงเป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้สาวๆ ที่ได้อ่านไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ถูกกระทำอีกต่อไป การ์ตูนสายวายเข้ามาแผ่ขยายอิทธิพลในไทย โดยในช่วงแรกถูกเรียกว่า BL หรือ Boy love โดยมีผู้อ่านไทยเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ก่อนที่ผู้ประกอบการในธุรกิจบันเทิงไทยจะหยิบจับเนื้อหาจากการ์ตูนวายมาทำเป็นซีรีส์ฉบับคนจริงแสดง โดยซีรีส์วายเรื่องแรกที่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นความนิยมตลาดสายวายในไทยจนถึงปัจจุบันน่าจะเป็นเรื่อง Love Sick The Series 2014 ที่ดัดแปลงมาจากนิยายวายบนเว็บไซต์ dek-d SCB EIC วิเคราะห์ตลาดสายวายไทยว่า ที่ผ่านมารายได้รวมของผู้ผลิตภาพยนตร์และซีรีส์วายของไทยมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 17% ในปี 2025 โดยมีมูลค่ารวมมากกว่า

Read More

Day One ลงทุน Data Center หวังพลิกโฉมอนาคตดิจิทัลไทย

ปี 2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่ไทยยังเนื้อหอม มีเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาจำนวนไม่น้อย ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมของปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยจำนวน 954 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 227 ราย และขอรับหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 727 ราย เงินลงทุนรวม 228,106 ล้านบาท ขณะที่ชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ญี่ปุ่น 254 ราย เงินลงทุน 121,190 ล้านบาท 2. สิงคโปร์ 137 ราย เงินลงทุน 22,485 ล้านบาท  3. จีน 123 ราย เงินลงทุน 19,547 ล้านบาท 4.

Read More

NEDA กับเส้นทาง R11 หนุนเศรษฐกิจเชียงใหม่-เวียงจันทน์

ไทยมีจังหวัดที่มีชายแดนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 24 จังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีอาณาเขตติดกับดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นแบตเตอรี่ของเอเชีย อย่าง สปป.ลาว เส้นทางโลจิสติกส์ที่เชื่อมไทยสู่ สปป.ลาว หลายเส้นทางมีความสำคัญทั้งมิติของการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน โดยเฉพาะเส้นทาง R11 ที่ถูกจัดให้เป็นเส้นทางที่จะเข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่-เวียงจันทน์ (Chiang Mai-Vientiane Economic Corridor: CVEC) ระยะทางประมาณ 629 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางของการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว นี่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือ สพพ. NEDA มีบทบาทสำคัญ ด้วยการหยิบยื่นความช่วยเหลือด้านการเงิน ด้านวิชาการ แก่ สปป.ลาว “เนด้ามีความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือ ความช่วยเหลือ ทั้งด้านการเงิน ในลักษณะของเงินกู้ รวมถึงด้านวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณพอสมควร ซึ่งเราพิจารณาจากประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับทั้งสองประเทศ โดยมองที่ยุทธศาสตร์เป็นสำคัญ และการพัฒนาถนนหมายเลข R11 ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง มีการออกแบบให้เป็นถนน 2 ช่องจราจรซึ่งเป็นมาตรฐานทางหลวงอาเซียน เส้นทาง R11 มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองหลักทางเศรษฐกิจของไทยและ สปป.ลาว

Read More

อุตสาหกรรมไมซ์ แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทย

นอกจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้ว อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE: Meeting, Incentives, Conventions, and Exhibitions) เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี สำหรับในปี 2567 อุตสาหกรรมไมซ์ สร้างรายได้เข้าประเทศได้มากถึง 148,341 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.27% จากปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ เช่น มาตรการยกเว้นวีซ่าแก่กลุ่มนักท่องเที่ยว มาตรการเกี่ยวกับวีซ่าหน้าด่าน ที่ให้สิทธินักท่องเที่ยวจากหลายประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวเลขรายได้จากปีที่ผ่านมาจะสูงกว่าแสนล้าน แต่นั่นยังไม่สามารถกลับไปเทียบเท่ารายได้ในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมไมซ์ ถูกตั้งความหวังว่าน่าจะสามารถสร้างรายได้ 2 แสนล้านบาท และจำนวนนักเดินทางสำหรับอุตสาหกรรมนี้ทั้งในและต่างประเทศ 34 ล้านคน จากทีเส็บ หรือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หน่วยงานรัฐที่ที่มีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ โดยยุทธศาสตร์ที่น่าจะทำให้ไทยเข้าใกล้เป้าหมายได้นั้น ทีเส็บวางไว้ 5 ข้อ ได้แก่ สนับสนุนงานไมซ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและดึงงานไมซ์ระดับโลก มุ่งเน้นตลาดศักยภาพใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง และกลุ่ม BRICS

Read More

ตลาดสินค้าแม่และเด็กขยายตัว สวนทางอัตราการเกิดต่ำ

ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภาวะการเกิดต่ำ แต่อีกหลายประเทศกำลังประสบกับปัญหานี้ สาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กในยุคปัจจุบันมีราคาสูง ความเครียดในวัยเจริญพันธุ์ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปทำให้หลายคู่เลือกที่จะไม่มีทายาท หลายประเทศกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอัตราการเกิดต่ำ และออกนโยบายหรือมาตรการเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนอยากมีลูกมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ ที่เตรียมจัดสรรงบประมาณราว 7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อโครงการส่งเสริมการแต่งงานและการมีบุตร ในปีงบประมาณ 2569 (เมษายน 2569- มีนาคม 2570) ซึ่งก่อนหน้านี้สิงคโปร์ออกนโยบาย Baby Bonus Scheme กระตุ้นการมีบุตรโดยรัฐบาลให้เงินสนับสนุนพ่อแม่คนละ 8,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อมีลูกคนแรก และคนที่ 2 และ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ เมื่อมีลูกคนที่ 3 เป็นต้นไป แม้ว่าไทยยังต้องเผชิญกับภาวะการเกิดต่ำ แต่โคโลญเมสเซ่ (ประเทศไทย) ผู้จัดงานแสดงสินค้าแม่และเด็ก ยังคงเดินหน้าจัดงาน Kind+Jugend ASEAN 2025 พร้อมบอกว่าตลาดขยายตัวเนื่องจากพ่อแม่ทุ่มเงินสำหรับเด็กมากขึ้น “ปีที่ผ่านมางาน Kind+Jugend ASEAN มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยดูจากจำนวนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้น 40% มีแบรนด์สินค้าเข้าร่วมมากกว่า

Read More