“เราทำธุรกิจแบบไม่มีสูตรสำเร็จ เน้นที่การแก้ Pain Point และพัฒนาโครงการ” แนวความคิดของ สุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานอำนวยการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ที่โลดแล่นอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยมาพอสมควร
แม้ว่าชื่อชั้นของ นายณ์ เอสเตท จะไม่ได้อยู่ในระดับต้นๆ ของผู้ประกอบการอสังหาฯ แต่การใช้โจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมาเป็นโจทย์ในการพัฒนาโครงการ ทำให้ บริษัท นายณ์ เอสเตท มักจะถูกจับตามองเสมอ
“เราอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาประมาณ 12 ปี พัฒนาโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการวาง Position ตัวเองให้เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สไตล์บูทีก โครงการที่เราพัฒนาไปก่อนหน้านั้น เช่น Quarter Thonglor 39, 31 คอนโดมิเนียม KRAAM สุขุมวิท 26 รวมถึง Park Silom และ Punn นี่เป็นโครงการที่เราออกแบบด้วยการศึกษาสภาพแวดล้อมในหลายมิติ โดยเฉพาะความต้องการของผู้บริโภค” สุธี ลิมปนชัยพรกุล บอกเล่ากับ “ผู้จัดการ 360 องศา”
การสำรวจความต้องการของลูกค้า เป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ เพื่อให้โครงการที่อยู่อาศัยนั้นๆ กลายเป็นสินค้าที่โดนใจ เมื่อตลาดที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง แต่นายณ์ เอสเตท ไม่ได้ทำเพียงแค่การสำรวจความต้องการพื้นฐานทั่วไป แต่ลงลึกถึงรายละเอียด และรวมไปถึงความต้องการของเจ้าของที่ดินเดิมก่อนที่จะเริ่มโครงการ
“เราเริ่มจากการพูดคุยกับเจ้าของที่ดินรายเดิม ทั้งการสอบถามประวัติความเป็นมาของที่ดิน โดยจับประเด็นสำคัญที่เจ้าของที่เดิมให้ความสำคัญหรือเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทำสืบต่อกันมา นอกจากนี้ เรายังมีการสัมภาษณ์กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายสำคัญของเราถึงความต้องการ ลักษณะของบ้าน การใช้งาน สวนสาธารณะส่วนกลางที่ใช้งานได้จริง พื้นที่สำหรับ Pet Friendly รวมถึงผู้ที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงเราก็ให้ความสำคัญ คำตอบเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการทำงาน การออกแบบ ที่ต้องบอกว่าเราไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของคนหมู่มาก”
ต้องบอกว่า นายณ์ เอสเตท ไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ตลาดระดับกลางถึงตลาดระดับล่าง แต่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่สุธีดูแลนั้นจะเน้นลูกค้าตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับบน
ล่าสุด นายณ์ เอสเตท เปิดตัวโครงการ ไอรา เรซสิเดนท์ งามวงศ์วาน ภายใต้แนวคิด Breaking New Ground ที่เน้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ที่สามารถส่งต่อเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น
“โครงการ ไอรา เรซสิเดนท์ งามวงศ์วาน A Private Urban Nature Retreat เป็นอีกหนึ่งผลงานที่สะท้อนถึงตัวตนของการเป็นบูทีก ดีเวลอปเปอร์ ซึ่งเราชัดเจนในประเด็นสำคัญ คือ คุณภาพโครงการ การบริการ ความยั่งยืน และเวลบีอิ้ง บนพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 7 ไร่ เราสามารถสร้างสัดส่วนพื้นที่สีเขียวได้มากถึง 15% และภายในโครงการประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 24 หลัง ราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาท
ต้องบอกว่านี่เป็นราคาที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละดีเวลอปเปอร์ต่างมีแนวทางการพัฒนาที่เป็นสไตล์ของตัวเอง และเราเองยึดมั่นในแนวทางการสร้างพื้นที่ที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังใช้งานได้จริง เป็นมิตรต่อโลก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างแท้จริงในระยะยาว
ดังนั้น ก่อนลงมือพัฒนาโครงการเราใส่ใจค้นหาความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคผ่านการทำ Design Thinking เพื่อสร้างนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตในทำเลเมือง ด้วยการพัฒนาให้เป็นโครงการบ้านที่พร้อมมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่ทำให้ทุกคนสามารถเติมเต็มพลังใจและกายให้กับธรรมชาติได้ทุกวัน”
นอกจากนี้ นายณ์ เอสเตท ยังดึงประสบการณ์การออกแบบจาก บริษัท สถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม อาศรมศิลป์ จำกัด ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบมาร่วมสร้างสรรค์ ไอรา เรสซิเดนท์ งามวงศ์วาน ให้เป็น A New Era of Urban Living Experiences
“โครงการไอรา เราดีไซน์เพื่อให้ทุกเจเนอเรชันสามารถใช้เวลาร่วมกันได้ และผู้สูงวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่แต่ชั้นล่างเท่านั้น เพราะทุกหลังเราใส่ลิฟต์เพื่อให้สามารถโดยสารระหว่างชั้นได้สะดวกขึ้น”
ด้านภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลวิจัย พบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน ยังต้องเผชิญหน้ากับภาวะซัปพลายล้นตลาด กดดันอัตราการขายให้ชะลอตัวลง ในขณะที่ตลาดเช่าเติบโตขึ้น นี่น่าจะเป็นเหตุผลให้บรรดานักวิเคราะห์คาดกันว่าจะมีจำนวนโครงการใหม่ลดลงในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุปทานยังคงสูงและกำลังซื้อลดลง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อาจจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่ง ณ สิ้นปี 2567 มีอัตราการเติบโต 7.1% โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมาจากจีน 28% ฟิลิปปินส์ 25% และญี่ปุ่น 14% แนวโน้มนี้อาจส่งผลให้ตลาดเช่าเติบโตขึ้น ซึ่งอาจดึงดูดนักลงทุนให้กลับมาสนใจตลาดคอนโดในทำเลที่เหมาะสม
ขณะที่ตลาดบ้านแนวราบยังคงมีศักยภาพ โดยเฉพาะในช่วงราคาตั้งแต่ 10-40 ล้านบาท แม้ว่าการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ เช่นเดียวกับตลาดคอนโด ทำเลศักยภาพของคอนโดที่ยังได้รับความสนใจ ได้แก่ เพลินจิต ชิดลม ราชดำริ สาทร และริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่มีโครงการระดับสูงเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
ผู้บริหาร นายณ์ เอสเตท เผยมุมมองต่อสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันว่า “สถานการณ์ของตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ต้องยอมรับว่าไม่ดีเหมือนที่ผ่านมา แต่ยังไม่ถึงกับแย่ เพราะยังมีคนมองหาที่อยู่อาศัย บ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ต้องยอมรับว่าตลาดเป็นของผู้ซื้อ สำหรับ นายณ์ เอสเตทเอง เราคงยังไม่มองโครงการแนวสูงในระยะนี้ โฟกัสที่โครงการแนวราบไปก่อน”
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่แม้ว่าปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเว้นวรรค 90 วัน และมีการปรับเพดานการเรียกเก็บภาษีลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าภาพรวมน่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ราคาวัสดุก่อสร้าง ที่อาจจะต้องปรับขึ้นหากสินค้าในกลุ่มนั้นๆ ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น หรือในมิติของนักลงทุนที่จะเข้ามาในไทย หากนักลงทุนอาจชะลอการตัดสินใจ ซึ่งน่าจะส่งผลต่อการดูดซับซัปพลายในตลาด
“ผลพวงของสงครามการค้ามีทั้งดีและไม่ดี หากนักลงทุนต้องมองหาตลาดใหม่และไทยเป็นตัวเลือกสำหรับตลาดเอเชีย จะเป็นผลดีต่อตลาดอสังหาฯ แต่ทั้งนี้คงไม่ใช่ในเวลาอันสั้น เพราะการลงทุนไม่ใช่จะเกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว
ด้านที่ไม่ดีจากสงครามการค้า คือ เรื่องกำแพงภาษี หากมีการปรับขึ้นในอนาคตกับสินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้างย่อมส่งผลต่อราคาต้นทุนของโครงการ” สุธี ขยายความ
นายณ์ เอสเตท ภายใต้การนำของ สุธี ลิมปนชัยพรกุล ต้องถือว่าเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ที่จัดสรรพื้นที่อันจำกัดได้เป็นอย่างดี Quarter Thonglor 39และ Quarter 31 แต่ละโครงการมีขนาดประมาณ 2 ไร่ และ ไอรา เรสซิเดนซ์ งามวงศ์วาน มีพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ แต่ทุกโครงการที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
“สูตรสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของเรา คือ ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ในทุกโครงการเราจะโฟกัสที่การแก้ Pain Point อะไรที่เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการให้มีอยู่ในโครงการที่อยู่อาศัย นี่คือสิ่งที่เรายึดถือและปฏิบัติมาตั้งแต่เริ่มต้น” สุธี ลิมปนชัยพรกุล ทิ้งท้าย
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า นายณ์ เอสเตท จะฝ่าฟันตลาดอสังหาฯ ที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดได้ด้วยกลยุทธ์แบบไหน กับความชำนาญในการบริหารและจัดสรรพื้นที่ขนาดไม่ใหญ่มากให้ตอบโจทย์ของลูกค้าได้.