ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยถือว่าเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด เดิมทีตลาดนี้มีแบรนด์จากฝั่งญี่ปุ่นถือครองส่วนแบ่งเกือบทั้งตลาด กระทั่งผลิตภัณฑ์จากฝั่งเกาหลีเริ่มขยายอิทธิพล และเข้ามากินสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ทว่าปัจจุบันแบรนด์จากจีนเริ่มแสดงความชัดเจนว่าต้องการที่จะครองตลาด เมื่อพิจารณาจากจังหวะก้าวของแต่ละแบรนด์ ที่ไม่ใช่เพียงการส่งสินค้ามาจำหน่ายในไทยเท่านั้น แต่ยังมองไกลไปถึงการตั้งฐานการผลิตเป็นโรงงานขนาดใหญ่หลายโรงในไทยเป็นที่เรียบร้อย
เหตุผลหนึ่งที่แบรนด์จากจีนต้องการชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย นั่นเป็นเพราะมูลค่าตลาดที่สูงเกือบแสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะแบรนด์ไฮเออร์ ที่เข้ามารุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยตั้งแต่ปี 2545 ปัจจุบันไฮเออร์มีโรงงานในไทยถึง 3 แห่ง ที่แรกตั้งอยู่ จ.ปราจีนบุรี แห่งที่ 2 อยู่ จ.ระยอง และแห่งที่ 3 จ.ชลบุรี ที่มีการวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อปี 2567 และคาดว่าจะพร้อมเดินเครื่องผลิตเครื่องปรับอากาศเพื่อจำหน่ายภายในเดือนกันยายนปีนี้
“ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 70,000 ล้านบาท มีการเติบโต 5.4% ขณะที่ยอดขายของแบรนด์ไฮเออร์ในไทยเติบโตขึ้น 22% ในปีที่ผ่านมาปิดที่ 11,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายของปี 2566 ซึ่งปีก่อนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 9,070 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็นสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภท ดังนี้ ยอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้านแบรนด์ไฮเออร์อยู่ในอันดับ 1 ของตลาดด้านจำนวนในตลาดออฟไลน์ ด้วยยอดขาย 5,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%” ต่ง เจี้ยนผิง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ไฮเออร์ มีผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก และแผนการขยายฐานการผลิตมาไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้มองได้ว่า ไฮเออร์มีเป้าหมายมากกว่าแค่ด้านยอดขาย
“แนวทางการทำตลาดในไทยมีเป้าหมายให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้น ต้องยอมรับว่าการเป็นแบรนด์จีน เหมือนเป็นจุดด้อยไปบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เรามีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรอบด้าน และนอกจากผู้บริโภคต้องรู้จักแบรนด์ของเราให้มากขึ้นแล้ว เรายังต้องการให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าของแบรนด์ไฮเออร์เป็นอันดับแรกเมื่อเข้ามาที่ร้านค้าแบบออฟไลน์” ต่ง เจี้ยนผิง อธิบายเสริม
“เป้าประสงค์หลักของสำนักงานใหญ่ไฮเออร์ที่จีน มองว่าไทยเป็นตลาดสำคัญแม้จะไม่ใช่ตลาดอันดับ 1 ในตลาดที่มีผลิตภัณฑ์จากไฮเออร์จำหน่ายเมื่อพิจารณาจากทุกประเทศที่เราส่งสินค้าออกไป แต่ประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดสำคัญและเป็นหนึ่งในสปริงบอร์ดที่จะทำให้แบรนด์ไฮเออร์เติบโต”
การพัฒนาอย่างรอบด้าน เสมือนคำตอบว่า ไฮเออร์ ต้องการหลุดพ้นจากการถูกมองว่าเป็นแค่แบรนด์จีน ที่ผ่านมาไฮเออร์เสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ด้วยหวังจะขยายฐานกลุ่มลูกค้า จากกลุ่ม mass ไปสู่กับกลุ่มลักชัวรี ด้วยการนำแบรนด์ คาซาร์เต้ (Casarte) แบรนด์จากประเทศอิตาลีเข้ามาเสริมพอร์ต นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์เครื่องปรับอากาศน้องใหม่อย่างแคนดี้ (Candy) จากอิตาลี ที่หวังจะเจาะตลาดกลุ่มเจน Y เจน Z โดยเฉพาะ
อีกหนึ่งแบรนด์จีนที่กรำศึกในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมาอย่างยาวนาน คือ TCL แถมยังมียอดขายโทรทัศน์สูงกว่าแบรนด์ SONY
TCL เริ่มต้นบริษัทมาตั้งแต่ปี 1981 ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน โดยเริ่มจากการเป็นผู้ผลิตเทปคาสเซตต์ ก่อนจะขยายธุรกิจไปเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ ก่อนจะเริ่มสยายปีกเพิ่มความท้าทายให้ตัวเองด้วยการบุกตลาดต่างประเทศในปี 2000 และเข้ามารุกตลาดไทย พร้อมตั้งบริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด
ที่น่าสนใจคือ แบรนด์ TCL สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากยอดจำหน่ายโทรทัศน์ทั่วโลกได้เป็นอันดับ 3 ในปี 2021 โดยในปีนั้นแบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 คือ Samsung 19.8% อันดับ 2 LG 12.8% และอันดับ 3 TCL 11.5%
การที่แบรนด์น้องใหม่ในเวลานั้นกลับสร้างปรากฏการณ์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้คนสนใจว่าอะไรเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ TCL เลือกใช้
หลัง TCL ตัดสินใจรุกตลาดต่างประเทศ มักจะใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการ ก่อตั้งบริษัทร่วมทุนกับแบรนด์ท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ซึ่งนี่เป็นการสร้างข้อได้เปรียบอย่างมหาศาล เพราะผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ คุ้นเคย โดยเฉพาะการเจาะตลาดประเทศฝรั่งเศสที่ต้องบอกว่า TCL มีจังหวะก้าวที่น่าสนใจไม่น้อย คือการเลือกที่จะเข้าไปร่วมทุนกับ Thomson SA ซึ่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่นที่กำลังเจอกับปัญหาการขาดทุน การร่วมทุนในครั้งนั้นสร้างข้อได้เปรียบให้กับ TCL อย่างมาก เพราะ TCL แทบไม่ต้องทำการตลาด แต่ยังได้สิทธิ์การผลิตโทรทัศน์ และใช้แบรนด์ Thomson
สิ่งที่ตามมาคือ TCL ยังขยายตลาดไปยังอเมริกาเหนือ ร่วมทุนกับบริษัท Roku ธุรกิจกล่องทีวีดิจิทัล จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ TCL ร่วมพัฒนาทีวีดิจิทัลแบบ 2 in 1 กับ Roku หรือสมาร์ตทีวีที่มีบริการสตรีมมิ่ง ที่มีแอปพลิเคชันเช่น youtube, Netflix
ถ้าจะบอกว่า TCL รู้จุดแข็งของตัวเองก็ว่าได้ และสร้างจุดแข็งให้กลายเป็นสินค้าเรือธงของแบรนด์และตีตลาดไปทั่วโลก
ปัจจุบัน TCL กำลังพยายามเร่งเครื่องอย่างหนักที่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและพยายามจะครองส่วนแบ่งในตลาดนี้มากขึ้น ล่าสุด แกรี่ จ้าว กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีซีแอล อิเล็กทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้ข้อมูลว่า “เรายังคงมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของไทย รวมทั้งรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของไทย ผู้นำแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศสูงสุด ทั้งในด้านจำนวนเครื่องและมูลค่าการจำหน่ายรวม”
นอกจากโทรทัศน์ สินค้าเรือธงของ TCL แล้ว แบรนด์จีนรายนี้ยังพยายามที่จะขยายพอร์ตไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ที่แทบทุกแบรนด์มองว่านี่เป็นตลาดสำคัญ เพราะตัวเลขมูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศในปี 2567 ที่สูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีช่องว่างให้แบรนด์ได้เติบโต ทำให้เราเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ถูกส่งเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด TCL เปิดตัวเครื่องปรับอากาศรุ่นล่าสุด “TCL FreshIN 3.0 Series” ที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมเทคโนโลยี Smart Fresh Air ประจำปี 2025 ในฐานะรางวัลออสการ์ของชุมชนเทคโนโลยี ที่มาพร้อมฟังก์ชันการสั่งงานด้วยเสียงและรองรับภาษาไทย เชื่อมต่อโดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต
“เราเชื่อว่าตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากนวัตกรรมใหม่ การประหยัดพลังงานและความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้น TCL ในฐานะผู้นำแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมอันดับหนึ่งในประเทศไทยต่อไป” แกรี่ จ้าว กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญ
สงครามการค้าที่นำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งไม่นานนี้ น่าจะเป็นต้นเหตุของสงครามการค้า โดยเฉพาะเรื่องภาษีการค้า กลับมาระอุขึ้นอีกครั้ง และนี่น่าจะทำให้ไทยได้รับอานิสงส์อย่างมาก โดยเฉพาะด้านการลงทุน เมื่อพิจารณาจากภูมิรัฐศาสตร์ และจีนจะกลายเป็นประเทศนักลงทุนสำคัญที่มีแนวโน้มจะย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
สัดส่วนการลงทุนจากต่างชาติในไทย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในปี 2567 นักลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทย 254 ราย เงินลงทุน 121,190 ล้านบาท จีน 123 ราย เงินลงทุน 19,547 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 121 ราย เงินลงทุน 24,675 ล้านบาท ฮ่องกง 69 ราย เงินลงทุน 15,281 ล้านบาท และสิงคโปร์ 137 ราย เงินลงทุน 22,485 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากถึง 32% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้นกว่า 124% มูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 56,490 ล้านบาท
นอกจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ธุรกิจที่อยู่ในแวดวงภาคอุตสาหกรรม เช่น โลจิสติกส์ ภาคการก่อสร้าง ภาคแรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจดิจิทัล จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย
จากนี้คงต้องจับตาดูกันว่า จะมีแบรนด์จีนรายใดย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย หรือขยายโรงงานการผลิตเพิ่ม ล้วนแต่มีผลดีต่อประเทศไทยทั้งสิ้น แต่ในอีกมิติหนึ่งที่หลายฝ่ายมีความกังวล คือ เมื่อแบรนด์จีนเข้ามาจะเบียดบังธุรกิจไทยให้เติบโตได้ยากหรือไม่ ยังต้องหาคำตอบกันต่อไป.