“เราเริ่มทำออนดีมานด์ในปี 2548 ด้วยความตั้งใจหลักคือต้องการพัฒนาการศึกษา สร้างโอกาสให้กับเด็กไทย และช่วยพัฒนาสังคมโดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือ ซึ่งตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ออนดีมานด์ไม่ใช่แค่โรงเรียนกวดวิชา แต่มันคือช่องทางที่ทำให้เราในฐานะเอกชนสามารถเข้ามาช่วยพัฒนาการศึกษาได้”
บทสนทนาเริ่มต้นระหว่าง “ผู้จัดการ 360” กับ “สาธร อุพันวัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เลิร์น คอร์ปอเรชั่น จำกัด และผู้ก่อตั้งออนดีมานด์ สถาบันกวดวิชาอันดับหนึ่งของประเทศ กับบทบาทของภาคเอกชนในการพัฒนาการศึกษาของไทยที่ดำเนินมากว่า 16 ปี
จากบัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาธรเริ่มต้นการทำงานในภาคการเกษตรของเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ราวๆ 6-7 ปี ก่อนที่จะเบนเข็มสู่เส้นทางธุรกิจด้านการศึกษา จากคำชวนของ โหน่ง-สุธี อัสววิมล ผู้ที่มีบทบาทสำคัญและเป็นอีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งออนดีมานด์
สาธรเล่าว่า “เรามีโอกาสเข้าไปทำโปรเจกต์โรงเรียนในโรงงาน ไปช่วยสอนหนังสือพี่ๆ ป้าๆ ที่เป็นพนักงานในโรงงานดอกไม้ประดิษฐ์ที่โหน่งเขาทำอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ปรากฏว่าผ่านไป 6 เดือน ป้าๆ สามารถอ่านออกเขียนได้ เหมือนเขาได้ชีวิตใหม่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามาทำงานด้านการศึกษาในรูปแบบการส่งเสริมการศึกษาในภาคเอกชน เพราะเราเชื่อว่าการศึกษามันช่วยพัฒนาสังคมได้”
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองคนร่วมกันก่อตั้งสถาบันกวดวิชาออนดีมานด์ขึ้นในปี 2548 เพื่อเป็นช่องทางในการพัฒนาด้านการศึกษาของเด็กไทย โดยเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนแบบหนึ่งต่อหนึ่งเป็นรายแรกๆ ในเมืองไทย ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่ในยุคนั้น
“ในสมัยนั้นอุปกรณ์ต่างๆ แพงมาก ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ จอมอนิเตอร์ เรามีเงินสดแค่ 200,000 บาท และกู้บัตรเครดิตอีก 200,000 บาท เป็นเงินลงทุน แต่เราศึกษาและเห็นแนวโน้มแล้วว่าระบบคอมพิวเตอร์แตกต่างจากเรียนผ่านจอทีวี และมันช่วยพัฒนาการเรียนการสอนได้จริงๆ”
แต่ด้วยความที่เป็นระบบใหม่ที่ผู้ปกครองและเด็กยังไม่คุ้นชิน ทำให้ระยะแรกไม่มีเด็กมาเรียน สาธรจึงเปิดให้เด็กๆ ได้ทดลองเรียนฟรีพร้อมแจกตำรา ซึ่งทำให้มีเด็กมาลงทะเบียนเรียนครั้งแรกกว่า 600 คน
“พอเด็กเขามาลองเรียนแล้วเขาชอบ ผู้ปกครองก็เริ่มเข้ามาสนับสนุน มาซื้อคอร์สเรียนให้กับลูกๆ มากขึ้น จากครึ่งปีแรกที่เป็นช่วงแนะนำเทคโนโลยี ให้น้องมาทดลองเรียน พอครึ่งปีหลังคนเริ่มนิยมมากขึ้น สถานที่เริ่มไม่พอ”
จากสาขาแรกที่เป็นห้องเล็กๆ ในอาคารพาณิชย์ย่านสะพานหัวช้าง ออนดีมานด์ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้ขยายสาขาออกไปยังพญาไท ลาดพร้าว และวงเวียนใหญ่ ก่อนที่จะเจาะเข้าสู่สยามสแควร์ ศูนย์กลางแห่งโรงเรียนกวดวิชา แต่เปิดได้เพียงไม่นานกลับต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง โรงเรียนถูกไฟไหม้เกือบทั้งหมด เงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาทหายไปกับกองเพลิง
“ถ้าถามว่าตอนนั้นเราท้อไหม? เราไม่ท้อ ผมบอกกับน้องๆ เสมอว่า อะไรจะเสียก็ช่างมันไม่เป็นไร ถ้าใจยังอยู่ยังไงก็สามารถกลับมาได้ และจะกลับมาดีกว่าเดิมด้วย”
หลังจากนั้นสาธรสามารถพลิกฟื้นออนดีมานด์กลับขึ้นมาใหม่ จนได้รับความนิยมจากเด็กและผู้ปกครอง ขึ้นแท่นสถาบันกวดวิชาอันดับหนึ่งของประเทศที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ ครอบคลุมทั้งวิชาสายวิทย์และสายศิลป์ ด้วยจำนวนสาขา 52 แห่งทั่วประเทศ และมีนักเรียนกว่า 100,000 คนต่อปี
หลังจากสร้างออนดีมานด์จนมีฐานที่แข็งแกร่งแล้ว สาธรได้ต่อยอดในพัฒนาการศึกษาด้านอื่นๆ ต่อไปอีก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “EdTech & Lifelong Learning” – สร้างนวัตกรรมการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด
ปี 2554 ก่อตั้ง เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น (Learn Education) เพื่อสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา ผสานระบบคอมพิวเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน
ปี 2560 ต่อยอดธุรกิจด้านการศึกษาเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนทุกช่วงวัยและตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ผ่าน ignite โรงเรียนกวดวิชาภาคอินเตอร์, TCASter แอปพลิเคชันรวบรวมข้อมูลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และ Skooldio สตูดิโอสำหรับผู้ที่ต้องการอัปสกิลใหม่ๆ ที่จับกลุ่มวัยทำงานโดยเฉพาะ
ปี 2562 สร้างแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์รูปแบบใหม่ภายใต้แอปพลิเคชัน LearnAnywhere, ร่วมมือกับพันธมิตรอย่างแสนสิริ พัฒนาหลักสูตรโรงเรียนสาธิตพัฒนา ฝ่ายมัธยม ที่นักเรียนไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม, คิดค้นนวัตกรรมด้านการค้นหาตัวเองผ่านหลักสูตรแนะแนว LEARN O LIFE สำหรับผู้ปกครอง ครู และนักเรียน
ปี 2563 ต่อยอดการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันสรุปบทเรียน Learnneo เพื่อช่วยให้เข้าถึงเนื้อหาวิชาเรียนได้อย่างกระชับ สะดวก และครบถ้วน, Money Class ห้องเรียนการเงินสำหรับคนทุกวัย เพื่อสร้างองค์ความรู้การเงินที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต
ในขณะที่มุ่งพัฒนาคอนเทนต์ แพลตฟอร์ม และเทคโนโลยีด้านการศึกษา เพื่อสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นในสังคมแล้ว อีกหนึ่งภารกิจหลักที่สาธรดำเนินควบคู่มาโดยตลอดกับการพัฒนาการศึกษา คือการช่วยเหลือสังคม โดยใช้ความเชี่ยวชาญและความพร้อมที่มีอยู่
“เราใช้ระบบการเรียนการสอนของเลิร์น เอ็ดดูเคชั่นและรายได้ส่วนหนึ่งจากการประกอบธุรกิจเข้าไปช่วยโรงเรียนที่ด้อยโอกาส แม้ว่าโรงเรียนนั้นจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ตาม อย่างเช่นโรงเรียนเซนต์โยเซฟแม่แจ่ม ที่เชียงใหม่ เราเข้าไปสอนเด็กตั้งแต่การเปิดคอมพิวเตอร์ การจับเมาส์ ผ่านไปเพียง 7 เดือน เด็กนักเรียนสามารถทำคะแนนพรีเทสต์ได้มากกว่าเด็กในเมืองด้วยซ้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว ความสามารถของน้องๆ เขาไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นเลย แต่เขาแค่ขาดโอกาสในการเรียนรู้เท่านั้นเอง”
ตลอด 16 ปี บนเส้นทางแห่งการพัฒนาการศึกษา จากออนดีมานด์โรงเรียนกวดวิชาเล็กๆ สู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ในชื่อ “เลิร์น คอร์ปอเรชั่น” ที่ครอบคลุมทุกมิติของการศึกษา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เชื่อแน่ว่าการพัฒนาการศึกษาภายใต้การนำของสาธรยังคงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ และเราคงได้เห็นสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาของไทยต่อไป