วันพุธ, พฤษภาคม 21, 2025
Home > Cover Story > ความเสี่ยงอุตสาหกรรมอาหาร กับกำแพงภาษีสงครามการค้า 2.0

ความเสี่ยงอุตสาหกรรมอาหาร กับกำแพงภาษีสงครามการค้า 2.0

ทั่วโลกกำลังจับตามองสถานการณ์สงครามการค้า 2.0 ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เปิดฉากอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนว่าแนวทางการเปิดฉากสงครามจะดุเดือดมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ต้นเหตุน่าจะมาจากความง่อนแง่นทางเสถียรภาพทางการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่เข้าใกล้คำว่า “ถังแตก” เต็มที จากหนี้ที่ต้องแบกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ คือ ญี่ปุ่น มูลค่าหนี้ 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีน มูลค่าหนี้ 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

เหตุผลดังกล่าว น่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพความมั่นคงในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลก ทว่าสงครามการค้าในครั้งนี้ สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นต่อเช่นที่ผ่านมา เหมือนการขว้างบูมเมอแรงออกไปยิ่งแรงเท่าไร ยิ่งสะท้อนกลับมาแรงและหนักเป็นเท่าตัว เมื่อสหรัฐฯ เริ่มเกมด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10%

การตอบโต้อย่างสาสมจากผู้นำแดนมังกร ที่ดูจะไม่สะทกสะท้าน และยังคงท้าทายอำนาจมืดจากซีกโลกตะวันตกชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่หวั่นเกรง พร้อมแลกแบบหมัดต่อหมัด ด้วยการตอบโต้กลับโดยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15%  ในยกแรก และหลังจากนั้นเรายังได้เห็นการตอบโต้กันด้วยการเพิ่มอัตราภาษีอย่างต่อเนื่องจากทั้งสองประเทศ

ในขณะที่ไทย แม้จะยังไม่ได้เลือกข้างอย่างชัดเจน แต่กลับต้องโดนกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งใส่เช่นกัน รัฐบาลไทยวางแผนการเจรจาหลังสิ้นสุดเทศกาลสาดน้ำดับร้อน โดยหวังว่าผลของการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐจะช่วยดับไฟสงครามไม่ให้ลุกลามมายังดินแดนด้ามขวาน

อุตสาหกรรมของไทยที่น่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ คือ อุตสาหกรรมอาหารที่พบว่ายังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง

ข้อมูลล่าสุดปี 2567 พบว่า ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ มูลค่า 172,380 ล้านบาท แต่มีนำเข้าเพียง 44,150 ล้านบาท

หากมองในตลาดอาหารโลกปี 2567 มีมูลค่าการค้า 1,840 พันล้านดอลลาร์ ประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ 1-5 คือ สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ จีน และเยอรมนี ตามลำดับ ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับ 12 ที่ส่งออกอาหารไปยังตลาดโลก

ด้านรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ แสดงทัศนะต่อสถานการณ์สงครามการค้าที่อาจจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมอาหารไทยว่า “ในช่วงที่เราต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การตั้งรับกำแพงภาษี ทั้งภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร ผู้ประกอบการ มีการปรึกษาหารือกันถึงแนวทางการเจรจาต่อรอง เพื่อที่จะกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอาหารของไทยในอนาคตว่าจะดำเนินทิศทางต่อไปอย่างไร

แน่นอนว่าในช่วงที่ยังมีกำแพงภาษีจากฝั่งสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คน ผู้เชี่ยวชาญมีความกังวลกันว่า สถานการณ์นี้จะก่อให้เกิดการกักตุนสินค้า แต่แน่นอนว่า ท่ามกลางวิกฤตสงครามการค้า ผู้ประกอบการไทยย่อมมีโอกาส เพียงแต่ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะการมองหาตลาดใหม่”

สินค้าส่งออกของไทยมีกลุ่มสินค้าเกษตรอาหารจำพวกข้าว กลุ่มอาหารแปรรูปพร้อมรับประทาน เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน วัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหารทั้งซอสและเครื่องปรุงรส กะทิและเครื่องแกงสำเร็จรูป

หากดูจากสถิติการส่งออกเมื่อปี 2567 พบว่า ประเทศที่ไทยส่งออกและมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ แอฟริกา, ตะวันออกกลาง, โอเชียเนีย, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร

“ไม่ว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารต้องหาทางช่วงชิงตลาดสร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง สำหรับตลาดใหม่ที่ผู้ประกอบการควรมองคือ ตลาดประเทศในกลุ่ม Middle East ซึ่งเป็นตลาดใหม่ กำลังซื้อสูง เป็นตลาดที่ดีเหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่เราต้องเผชิญกับกำแพงภาษี”

และก่อนที่จะจัดงานแสดงสินค้าเทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้านส่วนผสมอาหารและสารสกัด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในช่วงเดือนกันยายน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดงาน Northern Food Ingredients and Nutrition Expo โดยเผยแนวคิดการจัดงานในครั้งนี้ว่า

“ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป ที่สามารถนำไปทำเป็นสารสกัดที่มีมูลค่าสูงได้ และนี่ไม่ใช่งานครั้งแรกในภาคเหนือ เราจัดงานนี้มาตั้งแต่ปี 2566 และได้เห็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งปัจจุบันภาครัฐและสถาบันการศึกษาในภูมิภาคต่างๆ มีความพร้อมให้การสนับสนุน และพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการวิจัย และพัฒนาร่วมกันกับผู้ประกอบการ ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือกันทั้งองคาพยพ จะทำให้สินค้าไทย จากภูมิปัญญาของคนไทยในแต่ละภูมิภาคสามารถต่อยอดไปสู่ระดับสากลได้”

แม้ว่าโลกการค้ายังคงเผชิญหน้ากับกำแพงภาษีที่เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญ การมองหาตลาดใหม่จึงกลายเป็นเรื่องแรกที่ผู้ประกอบการทั่วโลกต้องเร่งหาทางออก ที่เห็นได้ชัดคือผู้ประกอบการจากจีน และเกาหลี มาร่วมงานในฐานะผู้แสดงสินค้า นวัตกรรมภายในงาน Food Ingredients Asia Thailand 2025 มากกว่าปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มองเห็นศักยภาพการเติบโตของตลาดนี้ในไทย และรวมถึงอาเซียน  นอกจากนี้ ยังหมายความถึงการไม่ปิดกั้นทางการค้าของไทย

“ปีนี้มีบริษัทผู้เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 800 ราย เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากจีน และเกาหลี เมื่อดูจากพื้นที่ของทั้งสองประเทศที่มีเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว แสดงว่าประเทศเหล่านี้ก็มองเห็นศักยภาพการเติบโตในอุตสาหกรรมของตลาดไทยและอาเซียน”

แม้ว่าการที่ผู้ประกอบการจากต่างชาติเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมด้านอาหาร และส่วนประกอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นัยหนึ่งคือการเข้ามาในฐานะของคู่แข่ง แต่อีกนัยหนึ่งคือเป็นคู่ค้าสำหรับผู้ประกอบการไทยเช่นกัน

เพราะไทยยังไม่สามารถลบข้อด้อยในอุตสาหกรรมนี้ได้ นั่นคือ การไม่สามารถสร้างสารสกัดได้เอง แม้ว่าจะมีวัตถุดิบต้นทางที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล หรือมีงานวิจัยที่ดี ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับสูงได้

แม้ว่าอาหารจะเป็นสิ่งที่ยังขายได้ เมื่อเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ กระนั้นก็ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยง เพราะอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการส่งออก เป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง และไทยอาจจะหลีกเลี่ยงนโยบายการเก็บภาษีแบบตอบโต้ ของโดนัลด์ ทรัมป์ได้ ซึ่งคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า มาตรการที่สหรัฐฯ ประกาศใช้นั้นจะสร้างผลร้ายต่ออุตสาหกรรมไทยมากน้อยเพียงใด เมื่อยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่ไทยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

และสงครามที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงที่ทรัมป์ เป็นผู้เริ่ม จะมีจุดจบเมื่อใด หรือรอให้บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญที่ว่า อีกไม่นานเงินดอลลาร์จะกลายเป็นแบงก์กงเต๊กในเร็ววัน โลกถึงจะสงบสุข.