หลังจากใช้เวลาเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ เกือบ 10 ปี อุษณา มหากิจศิริ ประกาศเดินหน้าโครงการเดอะเนสท์ เจาะตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง และลุยแผนลงทุนต่อยอดอีกจำนวนมาก เพื่อรุกขยายพอร์ตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเร่งด่วนตามยุทธศาสตร์การสร้างอาณาจักร “พีเอ็มกรุ๊ป” จากรุ่นพ่อ “ประยุทธ มหากิจศิริ” สู่ทายาทรุ่นที่ 2 ที่วันนี้เปิดเกมรุกจับธุรกิจหลักของประเทศ ทั้งอุตสาหกรรม ขนส่ง ธุรกิจพลังงาน เหมืองถ่านหิน เรือเดินสมุทร ไปจนถึงธุรกิจอาหารที่ดึงเอาแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง “พิซซ่าฮัท” และ “คริสปี้ครีม” เข้ามาอยู่ในมือ
อาจเป็นเพราะในบรรดาพี่น้อง 3 คน คือ อุษณีย์ เฉลิมชัย และอุษณา
น้องสาวคนเล็ก “อุษณา” ได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจอสังหาฯ กับพี่ชายมาตั้งแต่ต้น ทั้งสนามกอล์ฟเมาน์เท่นครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเด้นซ์ สนามกอล์ฟ มาตรฐานระดับโลก ขนาด 27 หลุม บนเนื้อที่ 1,750 ไร่ ที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา คลับเฮาส์หรู โรงแรม 70 ห้อง จนกระทั่งแตกไลน์เข้ามาบุกตลาดที่อยู่อาศัย ตั้งบริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ เมื่อปี 2522
วันนี้ อุษณาจึงกลายเป็นหัวเรือใหญ่ของพีเอ็มกรุ๊ป ท่ามกลางการแข่งขันในสมรภูมิอสังหาฯ ที่ดุเดือด เพราะคู่แข่งในตลาดคอนโดมิเนียมล้วนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ยึดครองตลาดมายาวนานและทุนหนาทั้งสิ้น
สำหรับแบรนด์ “เดอะเนสท์” อาจถือเป็นหน้าใหม่ในวงการ โดยเริ่มโครงการแรก เดอะเนสท์ เพลินจิต เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าลงทุนเพียง 500 ล้านบาท เมื่อปี 2556 เวลานั้นเจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management ที่ทำงานย่านชิดลม เพลินจิต มีบ้านอยู่แล้วและต้องการคอนโดเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง
อีก 2 ปีต่อ ผุด เดอะเนสท์ สุขุมวิท 22 เป็นโครงการโลว์ไรส์สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 316 ยูนิต มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 ล้านบาท แต่ยังเจาะกลุ่มเดิม คือ นักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management หรือพนักงานบริษัทที่มีรายได้ 40,000 บาทขึ้นไป มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในเมือง เน้นการเดินทางที่คล่องตัวเป็นหลัก และกลุ่มนักลงทุนที่มองหาคอนโดไว้เพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากเป็นย่านที่พักอาศัยยอดนิยมของชาวต่างชาติ อยู่ระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกและพร้อมพงษ์ โดยล่าสุดเหลือห้องเพียง 10% และคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปี 2561
ปี 2560 อุษณาลุยต่อเนื่อง ทุ่มเม็ดเงินอีก 1,600 ล้านบาท ผุดโครงการเดอะเนสท์ สุขุมวิท 64 เป็นโครงการ โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น มี 3 อาคาร จำนวน 439 ยูนิต ในทำเล Eastern Center Business District (ECBD) ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมและชูจุดขายด้านการออกแบบภายใต้แนวคิด “Finest Nature Reflection” ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ปุณณวิถี และอุดมสุข เจาะกลุ่มนักลงทุน หรือกลุ่ม first jobber พนักงานบริษัทที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กลุ่มคนทำงานย่านสุขุมวิท บางนา และกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่เดินทางเข้าเมือง เนื่องจากอยู่ใกล้รถไฟฟ้าเพียง 600 เมตร รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่กำลังมองหาคอนโดเพื่อปล่อยให้เช่า
อุษณากล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปีก่อน เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเริ่มกลับมาสนใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันชาวต่างชาติสนใจเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยจำนวนมากทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลกรุงเทพฯ ชั้นในและเขตรอบกรุงเทพฯ ชั้นในใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นทำเลที่มาธุรกิจอสังหาริมทร้พย์, แรง ซึ่งเป้าหมายสำคัญในเวลานี้ คือการสร้างแบรนด์เดอะเนสท์
ขณะเดียวกันบริษัทในฐานะบริษัทลูกของพีเอ็มกรุ๊ป ยังตั้งเป้าหมายขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างรายได้ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น ทั้งอาคารสำนักงานและโรงแรม โดยจะนำแปลงที่ดินสะสมของครอบครัวที่มีศักยภาพในทำเลกลางเมืองมาพัฒนาควบคู่กับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมทำเลในเมือง หรือเกาะแนวรถไฟฟ้า
ล่าสุด บริษัทนำที่ดิน 2 แปลง ย่านเพลินจิตและนานามาพัฒนาโรงแรมในรูปแบบไลฟ์สไตล์โฮเทล โดยใช้เชน “เพนตาโฮเทล (Penta Hotel)” ซึ่งเป็นหนึ่งในเชนบริหารโรงแรมของโรสวูด โฮเทล กรุ๊ป เริ่มจากที่ดินบริเวณซอยนายเลิศ พื้นที่ 300 ตารางวา พัฒนาเป็นโรงแรม สูง 8 ชั้น ขนาด 150 ห้อง ขนาดห้องประมาณ 24 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 2,000-2,500 บาทต่อคืน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท และจะเปิดให้บริการในปี 2563 ซึ่งเป็นการพัฒนาโดยบริษัทลูก เดอะเนสท์ เพลินจิต จำกัด
ส่วนอีกแปลงอยู่บริเวณซอยนานา เนื้อที่ 1 ไร่ครึ่ง เป็นที่ดินสะสมประมาณ 10 ปี พัฒนาโรงแรมในรูปแบบเดียวกันคือ สูง 8 ชั้น จำนวน 250 ห้องพัก ราคาค่าเช่า 2,000-2,500 บาทต่อคืน มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยจะพัฒนาภายใต้บริษัท เดอะเนสท์ นานา จำกัด
ทั้งนี้ โรงแรมเพนตาโฮเทล กรุงเทพ ถือเป็นโรงแรมเพนตาโฮเทลแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งโรสวูดโฮเทลกรุ๊ปวางเกมต้องการรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากประสบความสำเร็จในทวีปยุโรปและเอเชีย
อย่างไรก็ตาม อุษณากล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วง 1-2 ปี ยังเน้นการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ย่านใจกลางเมืองตามแนวรถไฟฟ้า ระดับราคา 2-5 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่าโครงการ 1,500-2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองกว่า 50% และอีก 50% ซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยสัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทย 70% ต่างชาติ 30% เช่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์
ล่าสุด บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 ในเดือนสิงหาคม จำนวน 5 อาคาร ราคาต่อยูนิต ประมาณ 2.39-5 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 100,000-110,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท และในปี 2562 มีแผนเปิดตัวอย่างน้อย 1 โครงการ มูลค่า 1,500-2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ครอบครัวมีที่ดินย่านใจกลางเมืองอีก 2 แปลง ย่านพระราม 4 เยื้องโครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) จำนวน 5 ไร่ ซึ่งอาจพัฒนาในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วยคอนโด และอาคารสำนักงาน ส่วนอีกแปลงอยู่ทำเลสาทร ซอย 1 พื้นที่ 3 ไร่ รวมทั้งจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมรอบสนามกอล์ฟทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ สนามกอล์ฟเลควู้ด คันทรี่คลับ บางนา กม.18 สนามกอล์ฟ เมาน์เท่น ครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเด้นซ์ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และสนามกอล์ฟเลควู้ด ลิงค์ บางนา กม.18
ดังนั้น หากประเมินจากที่ดินที่ทั้งประยุทธซื้อสะสมไว้จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนและการเลือกทำเลที่มีศักยภาพ รวมทั้งมีเม็ดเงินอีกมหาศาลเพื่อเฟ้นหาที่ดินเพิ่มเติมได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การกระโดดเข้าสู่สงครามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัวกำลังพิสูจน์ฝีมือของ “อุษณา มหากิจศิริ” ทั้งในฐานะทายาทรุ่นที่ 2 ของประยุทธ มหากิจศิริ และการเป็นนักธุรกิจหญิง คลื่นลูกใหม่ยุคมิลเลนเนียล โดยเฉพาะเป้าหมายการผลักดันแบรนด์ “เดอะเนสท์” และขยายพอร์ตรายได้ที่มีให้ช่วงชิงในตลาดอีกหลายหมื่นล้าน