Convenient laundry shop หรือร้านสะดวกซักเติบโตก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากปี 2563 มีมูลค่าตลาดราว 3,000 ล้านบาท พุ่งพรวดสูงถึง 13,500 ล้านบาทในปี 2567 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคปัจจุบัน
ธุรกิจร้านซักผ้าในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญทั่วไป (Coin-Operated Laundry Machines) เป็นเครื่องซักผ้าแบบครัวเรือนที่ติดตั้งระบบหยอดเหรียญ ใช้เงินลงทุนไม่สูงแต่ความทนทานน้อยกว่า ทำให้มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงและเปลี่ยนเครื่องซักผ้าในระยะยาว จำนวนผ้าซักต่อรอบการเดินเครื่องมีจำกัด
กลุ่มร้านซักรีดทั่วไป (Traditional Laundry Services) มีพนักงานให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ซัก อบ รีด โดยลูกค้านำผ้ามาฝากไว้ที่ร้าน บางร้านมีบริการเสริม เช่น รับ-ส่งผ้าถึงบ้าน สามารถซักผ้าที่มีลักษณะพิเศษ เช่น เสื้อสูท ชุดแต่งงาน หรือผ้าที่มีความบอบบาง
สุดท้ายที่กำลังได้ความรับความนิยม คือ ร้านสะดวกซัก (Laundromat) ให้บริการเครื่องซักอบผ้าแบบบริการตนเอง มาตรฐานอุตสาหกรรม มีความทนทานสูง มีความสามารถและความจุในการซักมากกว่า รองรับการใช้งานที่หนักกว่าเครื่องซักผ้าแบบครัวเรือน จึงใช้เงินลงทุนสูง แต่มีจุดขายรองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้า โดยเฉพาะบริการ 24 ชั่วโมง ลูกค้าสามารถมาใช้บริการได้ตามสะดวกตลอดเวลา
ทั้งนี้ ธุรกิจร้านสะดวกซัก (Laundromat) มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นและรวดเร็วที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจร้านซักผ้าประเภทอื่น ๆ โดยข้อมูลจาก Alliance Laundry Systems LLC (ALS) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องซักผ้าและอบผ้าระดับแนวหน้าของโลก ระบุว่า ในปี 2567 ร้านสะดวกซักที่ใช้เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าอุตสาหกรรมจาก ALS เพิ่มขึ้นถึง 3,489 ร้าน และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 9%
ปัจจัยหนุนสำคัญ คือ การซักด้วยเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าอุตสาหกรรมที่ร้านสะดวกซัก สามารถตอบโจทย์ความสะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพสูงกว่าการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าทั่วไปที่บ้าน ประหยัดเวลา โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการตากผ้า ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนถึงโอกาสทางธุรกิจของอุตสาหกรรมร้านสะดวกซัก ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต
ปัจจุบันจึงเกิดแบรนด์ร้านสะดวกซักจำนวนมากและมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ ทั้งในรูปแบบสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและสาขาแฟรนไชส์
แบรนด์หลัก ๆ เช่น แบรนด์ Otteri Wash & Dry ของบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด แบรนด์ WashXpress ของบริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) แบรนด์ 24WASH ของบริษัท พอช ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ จำกัด แบรนด์ Laundry Bar ของบริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด แบรนด์ Maru Laundry ของบริษัท กันยง ลอนดรี้ จำกัด
แบรนด์ Wash Enjoy ของบริษัท คลีน สตาร์ โซลูชั่น จำกัด แบรนด์ Browny 24hr Wash & Dry ของบริษัท เอบี อินโนเวชั่นส์ จำกัด แบรนด์ Coin Laundry ของบริษัท คลีนเชน จำกัด แบรนด์ Laundry Station ของบริษัท ลิมาญ่า (ไทยแลนด์)จำกัด และแบรนด์ Code Clean ของบริษัท วอชแอนด์โก จำกัด
แน่นอนว่า สมรภูมิร้านสะดวกซักมีการแข่งขันสูง โดยแต่ละร้านพยายามสร้างความแตกต่างดึงดูดลูกค้า ทั้งโลโก้ มีมาสคอต การตกแต่งสร้างเอกลักษณ์ของร้าน การสร้างประสบการณ์การใช้บริการ และเลือกเปิดสาขาในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของผู้คน เช่น ชุมชน คอมมูนิตี้มอลล์ สถานีเติมน้ำมัน และพื้นที่ที่อยู่อาศัย
ก่อนหน้านี้ ค่ายแอลจี บิ๊กแบรนด์เกาหลี ประกาศแตกไลน์ธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ เปิดแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกของแอลจีทั่วโลก ภายใต้ชื่อ “LG Laundry Crew” ปักหมุดแรก เจาะทำเลรามคำแหงซอย 8 เพราะเห็นโอกาสและที่ผ่านมามีสัดส่วนตลาดเครื่องซักผ้าเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทยมาตลอด 35 ปี จึงตัดสินใจเปิดตัว LG Laundry Crew ร้านสะดวกซักที่ใช้โมเดลธุรกิจใหม่ในประเทศไทยเป็นที่แรก
พูดง่าย ๆ คือ จากเดิมเป็นแค่บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ให้ผู้ประกอบการอื่น ๆ แต่ขอขยับมาเป็นผู้เล่นในตลาดแฟรนไชส์ โดยมีจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์ เครื่องซักผ้า-อบผ้าเชิงพาณิชย์ที่มีขนาดความจุพอดี ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องซื้อเครื่องซักผ้า-อบผ้าขนาดใหญ่เกินจำเป็น โดยแอลจีเป็นแบรนด์เดียวในตลาดประเทศไทยที่มีผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ และมีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องซักผ้าไทย สัดส่วน 34.3% รวมทั้งเป็นผู้ผลิตเครื่องซักและอบเชิงพาณิชย์ที่มีรอบซักมากกว่าเครื่องซักผ้าตามบ้าน ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในร้านสะดวกซัก สามารถคืนทุนให้ผู้ประกอบการภายใน 2-4 ปี ใช้งบลงทุนต่อสาขา เฉลี่ย 1.5-3 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ค่าตกแต่งภายใน และการวางระบบหลังบ้านต่างๆ
ด้านเจ้าตลาด Otteri Wash & Dry ของบริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งบุกเบิกรุกธุรกิจร้านสะดวกซักเมื่อสิบปีก่อน และสามารถขยายเครือข่ายอย่างรวดเร็วมากกว่า 600 สาขา จนเกิดดีลใหญ่ร่วมทุนกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ “โออาร์” ผ่านบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ได้เม็ดเงินถึง 1,105 ล้านบาท เมื่อปี 2565
ล่าสุด Otteri Wash & Dry ปูพรมสาขาไปทั่วประเทศ 1,250 สาขา และมีแนวโน้มขยายไม่หยุดผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ โดยมีฐานผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคน และยังลุยตลาดต่างประเทศ นำร่องที่ประเทศกัมพูชา 10 สาขา
Otteri Wash & Dry มีรูปแบบร้านแฟรนไชส์มี 2 ขนาด คือ ไซซ์ M พื้นที่ 40-45 ตารางเมตรขึ้นไป ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 2.4 ล้านบาท และไซซ์ L พื้นที่ 60-65 ตารางเมตรขึ้นไป ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 3.1 ล้านบาท ทำเลหลัก ๆ ได้แก่ แหล่งชุมชนขนาดใหญ่และใกล้ที่พักอาศัย มีพื้นที่จอดรถ เน้นแหล่งที่เป็น Lifestyle Community ซึ่งคนรุ่นใหม่ออกมาใช้ชีวิต และทำกิจกรรมข้างนอก เช่น สถานีบริการ EV charger, Co-working space, Lifestyle café และร้านอาหาร รวมถึง “OR Space” รีเทลโมเดลใหม่ Community Space ของโออาร์ด้วย.