Home > Refugee

ดาบหน้าของผู้อพยพ กับมนุษยธรรมของประเทศมหาอำนาจ

ภาพผู้อพยพแตกฮือวิ่งหนีหลบแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกายิงใส่ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เหล่าผู้อพยพผ่านเข้ามาจนถึงชายแดนสหรัฐฯ ได้ หลังผู้อพยพพยายามข้ามรั้วพรมแดนเมืองตีฮัวนา ประเทศเม็กซิโก เพื่อหวังจะขอลี้ภัย เหตุการณ์ความโกลาหลนี้เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่จำนวนผู้อพยพเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นหลายพันคน พร้อมการประกาศกร้าวจากผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะไม่ยินยอมให้ผู้อพยพผ่านเข้ามาในประเทศได้เด็ดขาด หญิงสาวยึดมือลูกของเธอแน่นขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของเธอทั้งสองคนจะไม่มีใครหลุดมือหรือพลัดหลงไปในขณะที่กำลังกระเสือกกระสนวิ่งหนีแก๊สน้ำตา เป็นภาพที่ถูกเผยแพร่ในหลายสื่อ สร้างความรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ใจไม่น้อย พร้อมเกิดคำถามว่า การกระทำดังกล่าวของประเทศมหาอำนาจ รุนแรงและไร้มนุษยธรรมเกินไปหรือไม่ ภายหลังคำสั่งอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้ส่งทหารกว่า 5,000 นายไปยังพรมแดนเม็กซิโก เพื่อสนับสนุนภารกิจของหน่วยป้องกันชายแดน สหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายปลายทางของผู้อพยพจากหลายประเทศ ในแต่ละปีมีผู้อพยพที่แสดงความประสงค์จะขอเป็นผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะปีนี้สถานการณ์จำนวนผู้อพยพจากกลุ่มประเทศอเมริกากลางจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากหลักร้อยเป็นหลายพันคน โดยเฉพาะผู้อพยพที่เดินเท้ามาจาก 3 ประเทศนี้ ได้แก่ กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส ซึ่งเหตุผลที่ผู้อพยพเหล่านี้ตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนและเดินทางมายังสหรัฐฯ เพราะปัญหาความยากจน ปัญหาอาชญากรรมที่รุนแรงในประเทศของตัวเอง แน่นอนว่า “การไปตายเอาดาบหน้า” อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในห้วงยามนี้ กระนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศของผู้อพยพ ทางเลือกที่ว่า น่าจะมีเปอร์เซ็นต์รอด หรืออาจมีหนทางไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ คำถามเรื่องมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ที่มีต่อผู้อพยพไม่ใช่เพียงแค่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเท่านั้น เพราะเมื่อช่วงกลางปี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันให้เกิดการใช้นโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” กับผู้อพยพ หรือให้เข้าใจง่ายๆ คือ

Read More

เศรษฐกิจโลกทรุด! จับตาคลื่นผู้อพยพรอบใหม่

ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะซบเซาต่อเนื่องยาวนาน กำลังส่งผลให้เกิดคลื่นการอพยพของผู้คนครั้งใหม่ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมในระยะถัดจากนี้อย่างไม่อาจเลี่ยง การอพยพย้ายถิ่นของประชากรโลกในช่วงที่ผ่านมา อาจผูกพันอยู่กับประเด็นว่าด้วยสงครามและความขัดแย้ง ซึ่งนำไปสู่การย้ายถิ่นครั้งใหญ่ของประชากรทั้งจากภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือเข้าสู่ยุโรป ซึ่งติดตามมาด้วยวิกฤตผู้ลี้ภัยในปี 2015 ที่แม้ในปัจจุบันจำนวนผู้อพยพจะลดปริมาณลง แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้สหภาพยุโรปและประเทศในยุโรปสามารถนิ่งนอนใจว่าการอพยพระลอกใหม่จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต ก่อนหน้านี้ ประเทศในยุโรปหลายประเทศได้เรียกร้องให้มีมาตรการควบคุมคนเข้าเมืองที่รัดกุมยิ่งขึ้น ในขณะที่คณะกรรมการสหภาพยุโรปแจ้งว่าพร้อมยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อนจากความวุ่นวายทางการเมืองดังกล่าว โดยเฉพาะผู้อพยพย้ายถิ่นวัยหนุ่มสาวที่กำลังเผชิญปัญหาการว่างงานในประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือเหล่านั้น เพราะประเด็นปัญหาว่าด้วยผู้อพยพในยุโรปไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว หากแต่ยังเต็มไปด้วยความอ่อนไหวเปราะบางที่เกี่ยวเนื่องกับภูมิทัศน์ทางการเมืองและการบริหารจัดการทรัพยากรสำหรับกลุ่มประชากรที่เป็นฐานเสียงสนับสนุนการเลือกตั้ง และต่อเนื่องสัมพันธ์ไปสู่บริบทของการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย ขณะเดียวกันภาพของคลื่นมนุษย์ที่รอคอยโอกาสในการเข้าเมืองไปแสวงหาอนาคตใหม่ในภูมิภาคละตินอเมริกา กลับให้ภาพที่แตกต่างออกไป เพราะประชาชนจำนวนไม่น้อยยินดีที่จะทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือนเดินเท้าไปยังแนวพรมแดนของทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงหรือพรมแดนสหรัฐอเมริกา ได้สะท้อนภาวะแร้นแค้นจากสภาพเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วทั้งภูมิภาคอย่างชัดเจนที่สุด การอพยพลี้ภัยหนีถิ่นฐานของผู้คนที่เกิดขึ้นจากผลของความล่มสลายทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคละตินอเมริกาและอเมริกากลาง ดูจะเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างสนใจ และเร่งหาแนวทางในการแก้ไขอย่างกังวล โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) ระบุว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าภูมิภาคละตินอเมริกากำลังต้องการความช่วยเหลือ “ปัญหานี้อาจทวีความรุนแรงจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่เราได้เห็นมาแล้วในหลายพื้นที่ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้อาจกลายเป็นวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และเราต้องเตรียมรับมือ” IOM ระบุ ขณะที่รายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ระบุว่าแนวโน้มการอพยพย้ายถิ่นของประชากรโลกกำลังมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยประเทศต่างๆ พยายามเร่งฟื้นฟูการจ้างงานในประเทศ พร้อมกับสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง สะอาดและเท่าเทียมมากกว่าเดิม ซึ่งการวิเคราะห์การอพยพย้ายถิ่นฐานของประชากรโลกครั้งใหม่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ประเด็นที่น่าสนใจจากรายงานของ OECD ดังกล่าวในด้านหนึ่งอยู่ที่การระบุว่าการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของผู้อพยพข้ามประเทศจำนวนมากกว่าร้อยละ

Read More

ผู้อพยพ: ความท้าทายในโลกปัจจุบัน

ความเป็นไปของคลื่นผู้อพยพในภูมิภาคต่างๆ ของโลกกำลังเป็นภาพสะท้อนของวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่รอวันปะทุแตกไม่แตกต่างจากการเคลื่อนตัวของธารแมกมาใต้ปล่องภูเขาไฟ ที่นอกจากจะส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนและเคลื่อนไหวของเปลือกโลกแล้ว ยังพร้อมจะระเบิดทำลายและส่งผลต่อภูมิทัศน์โดยรอบอีกด้วย มูลเหตุของการอพยพลี้ภัยหนีถิ่นฐานของผู้คนไม่ได้เกิดขึ้นจากผลของสภาพสงครามความขัดแย้งแต่เพียงลำพังเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นจากผลของความล่มสลายทางเศรษฐกิจ ที่นำไปสู่ความแร้นแค้นทุกข์ยากลำเค็ญ ซึ่งกรณีเช่นนี้การอพยพทิ้งถิ่นของชาวเวเนซุเอลา เข้าสู่พรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน ดูจะเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างสนใจ และเร่งหาแนวทางในการแก้ไขอย่างกังวล วิกฤตเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ในด้านหนึ่งอาจเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะเวเนซุเอลาเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก เรียกได้ว่า เวเนซุเอลามีทรัพยากรที่มีคุณค่ามหาศาลของโลกอยู่ในมือ โดยทรัพยากรที่ว่านี้ควรจะนำพารายได้มหาศาลให้กับประเทศ เมื่อรายได้ของประเทศมากกว่าร้อยละ 95 มาจากการส่งออกน้ำมันนี้ หากแต่ข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่เอื้อประโยชน์ให้กับเวเนซุเอลามากนัก เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการน้ำมันในตลาดโลกลดลง ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันปรับตัวลดลงมาสู่ระดับ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่ผลิตได้ในระดับ 3 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และนั่นเป็นเหตุให้รัฐบาลเวเนซุเอลาขาดรายได้จากต่างประเทศไปโดยปริยาย ความล่มสลายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นของเวเนซุเอลาในห้วงเวลาปัจจุบัน ถูกระบุว่าเป็นผลพวงที่สืบเนื่องมาจากนโยบายประชานิยม ที่เน้นช่วยเหลือคนจน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินอุดหนุนราคาสินค้าอุปโภคบริโภค การอุดหนุนทางการศึกษาและค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นแนวนโยบายของ ฮูโก ชาเวซ ตั้งแต่เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1999 และต่อเนื่องมาจนถึงวาระสุดท้ายเมื่อ ฮูโก ชาเวซ ถึงแก่กรรมในปี 2013 เมื่อ นิโกลัส มาดูโร สืบทอดอำนาจขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาก็ยังดำเนินนโยบายตามแนวทางเดิม ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาทรุดต่ำลงต่อเนื่อง ประหนึ่งระเบิดเวลาที่ทำให้เวเนซุเอลากลายเป็นประเทศที่ระบบเศรษฐกิจพังทลาย อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงจนเงินโบลิวาร์แทบไม่เหลือค่าขณะที่ผู้คนในประเทศอดอยากขาดแคลนทั้งอาหารและยารักษาโรค จนต้องอพยพออกจากประเทศ เพื่อหนีความอดอยากแร้นแค้น สหประชาชาติประมาณการว่านับตั้งแต่ปี

Read More

ชีวิตระหว่างและหลังสงครามที่ฉนวนกาซา

 Column: Women in wonderland เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วหลังจากเกิดความขัดแย้งขึ้นที่ฉนวนกาซา หลายคนน่าจะยังจดจำความรุนแรงในครั้งนั้นได้ เมื่ออิสราเอลและกลุ่มฮามาสได้ยิงถล่มกันอย่างรุนแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็มีการเจรจาหยุดยิง และความรุนแรงในครั้งนั้นก็ยุติลง แต่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในบริเวณนั้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่มีความรุนแรงจนกระทั่งเหตุการณ์ยุติ ก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร  ความรุนแรงที่ฉนวนกาซาในปี 2557 เริ่มต้นในเดือนมิถุนายนเมื่อมีการลักพาตัวและฆาตกรรมวัยรุ่นชาวอิสราเอล 3 คน ซึ่งรัฐบาลอิสราเอลได้ออกมากล่าวโทษกลุ่มฮามาส แต่กลุ่มฮามาสออกมาปฏิเสธว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการลักพาตัวและฆาตกรรมวัยรุ่นชาวอิสราเอล  ความขัดแย้งแย่ลงไปอีก เมื่อวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ถูกลักพาตัวและถูกเผาทั้งเป็น เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2557 ทำให้ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากไม่พอใจ และออกมาประท้วงบนถนน เพราะพวกเขาเชื่อว่าวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์คนนี้น่าจะถูกคนอิสราเอลฆ่าเพื่อแก้แค้นแทนวัยรุ่นชาวอิสราเอลที่ถูกฆ่าตายก่อนหน้านี้ วันที่ 7 กรกฎาคม 2557 กลุ่มฮามาสออกมายอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการยิงจรวดเข้าสู่พื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอล นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนที่ผ่านมาที่มีการยิงจรวดระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอล แล้วกลุ่มฮามาสออกมายอมรับว่าเป็นฝีมือของกลุ่มตัวเอง  หลังจากกลุ่มฮามาสออกมายอมรับ วันถัดมาอิสราเอลก็ประกาศ “ปฏิบัติการปกป้องชายแดน” โดยอิสราเอลให้เหตุผลการโจมตีกลุ่มฮามาสว่า อิสราเอลมีเป้าหมายเพื่อต้องการหยุดการยิงจรวดและทำลายความสามารถของกลุ่มฮามาสไม่ให้สามารถโจมตีอิสราเอลกลับได้ ดังนั้นอิสราเอลจึงโจมตีทางอากาศใส่กลุ่มฮามาสซึ่งอาศัยอยู่ในเขตกาซามากกว่าหนึ่งพันจุด และกลุ่มฮามาสเองก็มีการโจมตีกลับด้วยจรวดมากกว่าหนึ่งพันลูกเช่นกัน จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ประเทศต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งด้วยการดำเนินการทางการทูต เพื่อทำข้อตกลงหยุดยิง การเจรจาเพื่อทำการหยุดยิงระหว่างสองฝ่าย เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกลุ่มฮามาสมีความคิดว่าการหยุดยิงคือการยอมแพ้ จนในที่สุดกลุ่มฮามาสก็ยินยอมที่จะทำข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนี้

Read More