เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน กกร. แนะรัฐเตรียมรับมือ
นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง เมื่อปัจจัยแวดล้อมรอบด้านสร้างแรงกดดันในภาวการณ์เช่นนี้ ทั้งประเด็นความขัดแย้งที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่มาตรการโต้ตอบระหว่างสองชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบจนถึงราคาขายปลีก นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์การติดเชื้อในจีน ที่แม้จะไม่หนักเท่าช่วงแรก แต่มาตรการการรับมือของจีนส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศจีนเอง และประเทศคู่ค้าสำคัญ ถือเป็นภาระอันหนักอึ้งของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน ที่นอกจากจะต้องรับมือกับความไม่มั่นคงด้านเสถียรภาพทางการเมืองที่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายค่อยๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ความขัดแย้งที่ดูจะขยายตัว ในขณะที่ปัญหาปากท้องของประชาชนยังคงเป็นที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่ความคาดหวังท่ามกลางกระแสพายุที่ยังโหมกระหน่ำ ยังคงเป็นเรื่องยากคล้ายกับการพยายามจุดเทียนกลางสายฝนด้วยไม้ขีดไฟที่เปียกชื้น การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย โดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นประธานการประชุมร่วมในครั้งนี้ มองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความอ่อนไหวจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน นับเป็นความท้าทายต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี โดยเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และการใช้นโยบายการเงินของแต่ละประเทศเข้มงวดขึ้น โดยล่าสุด Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นมากสุดในคราวเดียวในรอบ 22 ปี และจะปรับขึ้นต่อเนื่องไปถึง 2.50-2.75% ณ สิ้นปี นอกจากนี้ จีนยังใช้มาตรการ Zero Covid
Read More