ถ้าจะพูดว่า “Passion” ทำให้เกิดธุรกิจหลักพันล้านบาท ก็คงไม่ผิดนัก สำหรับ “ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข” ผู้ก่อตั้ง บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์ “Apple” และเป็นผู้คิดค้นชื่อร้าน “iStudio” เป็นคนแรก สู่การเป็นผู้นำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอที อุปกรณ์ Gadget และเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ที่มีสาขาในเครือถึง 106 สาขา กวาดรายได้ปีที่แล้วไปกว่า 8,600 ล้านบาท และล่าสุดกับการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่าง “TECHHOUSE by .life” ฮับแห่งดิจิทัลไลฟ์สไตล์แห่งแรกของเมืองไทย
จุดเริ่มต้นของ บมจ. คอปเปอร์ ไวร์ด มาจากความหลงใหลในสินค้าแบรนด์ Apple ของ ใหญ่ – ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีโอกาสได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple อย่างเครื่องแมคอินทอช (Macintosh) หรือเครื่องแมค (Mac) ที่หลายๆ คนเรียกกัน ซึ่งปรเมศร์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเหมือนรักแรกพบ และนั่นทำให้เขาชื่นชอบในสินค้าของ Apple และเรื่องของเทคโนโลยีมาโดยตลอด
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ จากสหรัฐอเมริกา ปรเมศร์ได้เข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านในการทำโรงงานเสื้อผ้าส่งออกและนำเข้าชุดว่ายน้ำที่วางขายตามห้างสรรพสินค้า โดยได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple เข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจและศึกษาเพิ่มเติมจนกลายเป็นกูรูสินค้าของ Apple กระทั่งมีโอกาสได้ไปพูดในงานสัมมนาที่มีคนของApple บินมาเข้าร่วม และเป็นจังหวะที่ Apple กำลังมองหาพันธมิตรเพื่อช่วยขายสินค้าในตลาดเมืองไทยอยู่พอดี
ปรเมศร์จึงตัดสินใจลงขันกับเพื่อนก่อตั้งบริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (Copperwired) ขึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2543 โดยได้รับแต่งตั้งจาก Apple ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าต่างๆ ของ Apple อย่างเป็นทางการ หรือ Apple Authorized Reseller (AAR) และเปิดร้าน Apple Centre ณ ห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ในปีเดียวกัน เป็นร้านเล็กๆ ขนาดราวๆ 50 ตารางเมตร ที่มาพร้อมกับดีไซน์ร้านที่แตกต่างจากร้านขายคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไปในยุคนั้น ซึ่งถือเป็นร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Apple แห่งแรกในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า
ในช่วงนั้นผลิตภัณฑ์ของ Apple ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน เพราะเครื่อง Mac ยังมีคนใช้น้อย แต่เขาก็ไม่ล้มเลิกเพราะเชื่อในคุณภาพสินค้า โดยยังคงเดินหน้าธุรกิจและโฟกัสที่การบริการลูกค้าซึ่งเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ จนได้รับความนิยมจากลูกค้ามากขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนั้น ยังพยายามหาสินค้าอื่นๆ เข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท โดยมีการก่อตั้งบริษัท โคแอน จำกัด (KOAN) ขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2545 เพื่อประกอบธุรกิจนำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เสริมเกี่ยวกับสินค้าประเภทดิจิทัลไลฟ์สไตล์
หลังจากนั้นในปี 2547 จึงเปิดให้บริการร้าน MacStudio สาขา เจ อเวนิว ทองหล่อ เป็นร้านที่สอง เพราะหมดช่วงใช้ชื่อ Apple Centre จากบริษัทแม่ ต่อมาก็ต้องเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง จนในที่สุดได้กลายมาเป็นชื่อ “iStudio” อย่างที่เราคุ้นตากันดีในปัจจุบัน โดยเปิดให้บริการร้าน iStudio ที่สยามพารากอน ซึ่งเป็นร้าน Premium Reseller ของ Apple สาขาแรกในไทย
แต่ที่น่าสนใจคือการเข้ามาของโทรศัพท์มือถือ iPhone โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone4 ที่เข้ามาเป็นจุดเปลี่ยนและทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่การจับมือกับบริษัท วีเน็ท แคปปิตอล จำกัด (VNET CAPITAL) ที่ได้เข้ามาลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท เพื่อเพิ่มความสามารถในการขยายธุรกิจ โดยหลังจากนั้นได้มีการขยาย iStudio เพิ่มเติม อีกทั้งยังมีการขยายพื้นที่ของสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ จากเดิม 120 ตร.ม. มาเป็นขนาดใหญ่ถึง 500 ตร.ม.
ปี 2553 คอปเปอร์ ไวร์ด ขยายธุรกิจสู่สินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ (Digital Lifestyle) ด้วยการเปิดร้าน dotlife หรือ .life (ดอทไลฟ์) สาขาแรกที่พาราไดซ์พาร์ค เพื่อรองรับสินค้ากลุ่มใหม่ๆ และเป็นศูนย์รวมของสินค้าเทคโนโลยี อุปกรณ์เสริม Gadget ต่างๆ และเดินหน้าเปิดสาขา 2 ที่สยามพารากอนในปีเดียวกัน
ไม่เพียงเท่านั้น คอปเปอร์ ไวร์ด ยังได้รับการแต่งตั้งจาก Apple ให้เป็นผู้ให้บริการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ Apple อย่างเป็นทางการ โดยมีการเปิดศูนย์บริการ iServe สาขาแรกที่อัมรินทร์พลาซ่า เพื่อให้บริการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของ Apple อีกทั้งยังได้เปิดร้าน U-Store by copperwired ขึ้น โดยเป็นร้านที่เปิดในมหาวิทยาลัยสำหรับกลุ่มนักเรียนนักศึกษาโดยเฉพาะ
กระทั่งในปี 2562 คอปเปอร์ ไวร์ด จึงได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ติดนามสกุล “มหาชน” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างการเติบโต เพราะหลังจากนั้นคอปเปอร์ ไวร์ดได้เดินหน้าขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
โดยมีการรับโอนกิจการและทรัพย์สินบางส่วนของบริษัท ไอบิส พลัส เน็ทเวอร์ค จำกัด ที่ประกอบกิจการร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์เสริมต่างๆ จำนวน 56 สาขา รวมถึงร้าน AIS, Samsung และ Xiaomi เข้ามาเสริมแกร่งและเป็นทางลัดในการขยายธุรกิจ
“TECHHOUSE by Dotlife” ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ฮับแห่งแรกของไทย
ปัจจุบัน บมจ. คอปเปอร์ ไวร์ด มีร้านในเครือหลายแบรนด์ ทั้ง Apple Reseller, iStudio by copperwired, U-Store by copperwired, iServe, dotlife, Samsung, Xiaomi, AIS, KOAN รวมจำนวนทั้งสิ้น 106 สาขา ครอบคลุม 27 จังหวัด มีสินค้ามากกว่า 200 แบรนด์ ร่วม 5,000 SKUs
ล่าสุด คอปเปอร์ ไวร์ด ยังสร้างปรากฏการณ์ด้วยการเปิดแบรนด์ใหม่ในชื่อ “TECHHOUSE by .life” (TECHHOUSE by Dotlife) แหล่งรวมสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์แห่งแรกของไทย โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง คอปเปอร์ ไวร์ด และวัน แบงค็อก (One Bangkok) ที่ร่วมกันคิด ร่วมสร้าง และร่วมออกแบบ ตั้งแต่คอนเซ็ปต์ร้าน การดีไซน์ ไปจนถึงการคัดสรรสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ และถือเป็นแหล่งรวมสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์และอุปกรณ์ไอทีที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีสินค้ากว่า 100 แบรนด์ดังทั่วโลก ด้วยพื้นที่ 1,000 ตร.ม. ณ โซน The Storeys โครงการ วัน แบงค็อก
ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา” ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ในราคาที่ถูกลงด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฮม สมาร์ตซิตี้ ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ต่างๆ เพียงแต่ผู้บริโภคยังไม่มีร้านหรือพื้นที่ที่จะเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์เหล่านั้นได้โดยตรง
“เมื่อก่อนเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก ราคาแพง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เป็นมาตรฐาน และเข้าถึงได้ง่ายในราคาที่ถูกลง เมื่อก่อนเซนเซอร์สำหรับเปิดปิดประตูตัวหนึ่ง ราคา 2,000 กว่าบาท ตอนนี้ราคา 690 บาท ถามว่าคนธรรมดาซื้อได้ไหม ซื้อได้ สมาร์ตไลท์ เมื่อก่อนหลอดละ 2,900 บาท บ้านหนึ่งมี 10 หลอดก็คูณไปว่าต้องใช้เงินเท่าไร ต้องเป็นคนที่รัก gadget จริงๆ ถึงจะใช้สินค้าเหล่านี้ ตอนนี้เหลือ 690 บาท เทคโนโลยีในตลาดมันมีมากมาย มีทุกอย่าง แต่ในแง่ของผู้บริโภคเราเห็นเป็นชิ้นๆ ไม่เคยเห็นว่า เวลาเทคโนโลยีเหล่านั้นประกอบรวมกันมันเป็นอย่างไร ซึ่ง TECHHOUSE มีคำตอบ ผมอธิบายให้เห็นภาพตามนี้ สมมุติเราไปร้านๆ หนึ่ง เราจะซื้อสินค้าเป็นชิ้นๆ ซื้อ สมาร์ตริง สมาร์ตกลาส สมาร์ตโฮม door lock sensor ซึ่งเยอะแยะไปหมด นี่คือภาพที่ทุกคนเห็นอยู่ แต่ TECHHOUSE พอเรามองภาพเข้าไปจะเห็นเลยว่าเทคโนโลยีของเราอยู่ในที่เดียวกันและเชื่อมโยงรวมกันหมด ให้ผู้บริโภคเห็นภาพว่าเมื่อเทคโนโลยีต่างๆ เชื่อมกัน มันจะช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้อย่างไร”
“TECHHOUSE by Dotlife เป็นความร่วมมือกับวัน แบงค็อก ตอนทำร้านนี้ใช้เวลานานและใช้หลายทีมมากกว่าที่จะประสานงานและเข้าใจซึ่งกันและกัน ในมุมของ วัน แบงค็อก มองกลุ่มสินค้าออกมาเป็น sport tech, art tech, game tech เราก็เอาตรงนี้มาตีความแล้วแยกกลุ่มสินค้าให้สอดคล้องกันและให้เข้ากับวิชชั่นของวัน แบงค็อก และทำให้เวลาลูกค้าเดินเข้ามาในร้านเขาไม่รู้สึกว่ามันยากเกินไป อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ผมว่าหาไม่ได้ในโลกนี้ ผมเดินทางมาทั่วโลกไม่เคยเห็นร้านไหนที่มีสินค้าอย่างนี้และพรีเซนต์ลักษณะนี้มาก่อน ไม่ได้บอกว่าเป็นที่เดียวในโลก ตอนนี้ถ้าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวผมยังไม่เห็น ร้านอย่างนี้เราไม่เคยทำมาก่อน นี่คือครั้งแรก ใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท เพื่อเนรมิตให้ร้านออกมาแบบนี้ ซึ่งมากสุดเท่าที่เคยเปิดร้านมา ร้านนี้ผมบอกตรงๆ ถ้าไม่ได้ร่วมมือกับ วัน แบงค็อก เราทำไม่ได้”
ด้าน พลินี คงชาญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายรีเทล โครงการวัน แบงค็อก พาร์ตเนอร์คนสำคัญ กล่าวว่า “เรามองตรงกันว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว วัน แบงค็อก เป็นเรื่องของเมือง ไม่ใช่แค่การเปิดศูนย์การค้าให้คนมาจับจ่ายใช้สอยอย่างเดียว แต่มองในเรื่องประสบการณ์มากกว่า ซึ่งโฟกัสหลักของโครงการวัน แบงค็อก คือการเป็นสมาร์ตซิตี้กับเรื่องของความยั่งยืน ทาง owner อย่างคุณปณตเอง ท่านมีความใส่ใจในเรื่องนี้มากๆ อยากให้ วัน แบงค็อก เป็นเมืองอัจฉริยะ ทันสมัย รองรับเทคโนโลยี จึงเป็นที่มาของการทำร้าน TECHHOUSE ถ้าดูในปัจจุบันยังไม่มีร้านที่รวมสินค้าในทุกประเภทของดิจิทัลไว้ในที่เดียวกัน บางที่ขายโทรศัพท์อย่างเดียว บางที่เน้นขายนาฬิกา บางแห่งเป็นสินค้าไอที แต่ที่นี่รวมดิจิทัลไลฟ์สไตล์ทั้งหมดไว้ด้วยกัน”
โดยพื้นที่ภายใน TECHHOUSE by Dotlife แบ่งเป็น 6 โซน ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสสินค้าและทดลองใช้จริงก่อนตัดสินใจซื้อ พร้อมมีพนักงานให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1. Sport Tech รวม gadget แบรนด์ดัง สำหรับคนรักการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นหูฟัง หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างแบรนด์ Garmin, Shokz 2. Health Tech รวม gadget สายสุขภาพ เช่น เครื่องวัดค่าทางสุขภาพและอุปกรณ์เพื่อการดูแลสุขภาพ จากแบรนด์อย่าง Withings, Breo 3. Home Tech รวมอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้าน, Home Appliance, Office Tech, Audio Zone ลำโพงและหูฟังจากแบรนด์ชั้นนำ 4. Art Tech โซนสำหรับคนรักดีไซน์ ที่คัดสรร gadget ที่โดดเด่นด้านการออกแบบการันตีรางวัลระดับโลก เช่น Red Dot Design Award 5. Game Tech รวมอุปกรณ์เกมมิ่ง ทั้งคีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง และอุปกรณ์เสริม อย่าง PlayStation, Nintendo และ 6. Urban Tech รวมสมาร์ตโฟนจากแบรนด์ชั้นนำพร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆ จาก Apple, Samsung, Huawei
“ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมาก เมื่อก่อนเราบอกว่ารถไร้คนขับเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่อยู่ๆ มันก็เป็นไปได้ขึ้นมา มองในภาพใหญ่ของประเทศ ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ เราจะเติบโตไปพร้อมกับ AI เท่าทันประเทศอื่นได้อย่างไร อันนี้เป็นเรื่องสำคัญในฐานะที่เราอยู่ในวงการนี้ที่ต้องทำให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีก่อน ซื้อหรือไม่ซื้อ ใช้หรือไม่ใช้ ค่อยว่ากัน แต่ต้องเข้าถึงก่อน ต้องตามให้ทัน ถ้าไม่เข้าใจ ตามไม่ทัน เหมือนเราอยู่หลังเขา ทุกอย่างราคามันถูกลง มันถึงจุดที่เรียกว่าพร้อมที่จะเติบโต ในช่วง 5-10 ปี นับจากนี้ เราจะเอาโรบอตมาขายในร้านอย่างแน่นอน” ปรเมศร์ทิ้งท้าย
สำหรับปีนี้ ปรเมศร์ตั้งเป้าการเติบโตของคอปเปอร์ ไวร์ด ไว้ที่ 15% จากยอดขายปีที่แล้วที่ปิดไปที่ 8,600 ล้านบาท ซึ่งเขามั่นใจว่า TECHHOUSE by Dotlife แบรนด์ใหม่ล่าสุดของบริษัทฯ จะเป็นแรงส่งที่สำคัญ.