วันพุธ, พฤษภาคม 21, 2025
Home > Cover Story > เสียงสะท้อนจาก “แสงแรก” โลกมืดที่ต้องใช้หัวใจดู

เสียงสะท้อนจาก “แสงแรก” โลกมืดที่ต้องใช้หัวใจดู

แม้ว่าทุกวันนี้โลกจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เศรษฐกิจซบเซา สงครามการค้า ภัยพิบัติต่างๆ กระนั้น วิกฤตเหล่านี้ยังมีแง่มุมที่สวยงามให้เห็น แต่โลกของคนอีกกลุ่มหนึ่ง กลับมืดสนิทและไม่สามารถมองเห็นได้ นอกจากใช้จินตนาการจากการฟัง

ประเทศไทยมีผู้พิการทางการมองเห็นนับแสนคน โดยจำนวนหนึ่งจะได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในด้านฝึกอาชีพ พัฒนาศักยภาพ ความรู้ความสามารถ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต

“เราเป็นมูลนิธิช่วยคนพิการแห่งแรกในไทย นอกจากการฝึกอาชีพแล้ว เรายังเสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันให้สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุขเฉกเช่นคนปกติทั่วไป ตลอดระยะเวลาของการดำเนินการของมูลนิธิฯ กว่า 86 ปี เราต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งความช่วยเหลือที่ได้รับมีหลายทาง รวมถึงโอกาสในการสร้างอาชีพเพื่อหารายได้ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิตของคนตาบอดมากที่สุด” เสาวณี สุวรรณชีพ ประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ผู้พิการในไทยยังคงต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ที่แม้ภาครัฐจะมีแผ่นปูทางเดินสำหรับผู้พิการทางการมองเห็น แต่บางจุดลักษณะการปูแผ่นทางเดินไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งาน

“เราต้องการสร้างการรับรู้ให้แก่สังคม สร้างความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญในการสนับสนุนผู้พิการทางการมองเห็น โดยมุ่งเน้นในการสร้างการมีส่วนร่วมจากบุคคลทั่วไป ภาคธุรกิจ องค์กร ภาครัฐ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สนับสนุนและสังคมได้รับทราบถึงการขับเคลื่อนพันธกิจหลักของมูลนิธิฯ เราจึงจัดโครงการ ปิดตา เปิดใจ Open Mind Together ซึ่งมีกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้พิการทางการมองเห็นได้แสดงออกด้านทักษะ และความสามารถ”

แสงแรก ละครเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้เข้าชม ประธานมูลนิธิฯ ขยายความว่า “นี่เป็นละครเวทีที่ผู้ชมจะได้ดู โดยที่ไม่ต้องใช้ตา แต่ใช้ใจสัมผัสเรื่องราวผ่านเสียง กลิ่น สัมผัส และการสั่นสะเทือน เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ได้ มองโลกในแบบที่คนตาบอดมอง ซึ่งละครเวทีจะเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมวันครบรอบ 86 ปีของมูลนิธิฯ นอกจากละครเวทีแล้ว ยังมีนิทรรศการที่เคลื่อนไหวได้ เช่น แฟชั่นโชว์ สินค้าต่างๆ ที่เป็นผลงานจากความสามารถของผู้พิการทางการมองเห็น”

โอกาสสำหรับผู้พิการทางสายตา โดยเฉพาะด้านอาชีพ คนขายลอตเตอรี่ ดูจะถูกยึดโยงให้เป็นอาชีพเดียวสำหรับผู้พิการทางสายตา ทว่า ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้น

เสาวณี สุวรรณชีพ ขยายความว่า “ทุกวันนี้ โอกาสของผู้พิการทางการมองเห็นมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากอดีต ด้วยความตื่นตัวของภาครัฐและเอกชนที่ส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสทางอาชีพ โดยเฉพาะงานที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งการมองเห็น เช่น  งานบริการลูกค้า (ผ่านระบบโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่), ครูสอนดนตรีและครูสอนภาษาสำหรับผู้พิการ อาชีพอิสระ เช่น นวดแผนไทย งานฝีมือ งานหัตถกรรม การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการจ้างงานในบริษัทหรือหน่วยงานที่มีนโยบายจ้างผู้พิการอย่างเป็นระบบโดยทำงานร่วมกับคนปกติ เหมือนกับที่มูลนิธิฯดำเนินการอยู่มาโดยตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน”

ประเทศไทยมีกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2563) โดยมีข้อกำหนดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้พิการทางการมองเห็น เช่น: สิทธิในการเข้าถึงงานและการจ้างงาน: หน่วยงานของรัฐและเอกชนที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป  ต้องจ้างคนพิการอย่างน้อย 1 คน ต่อพนักงาน 100 คน และการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก คนพิการมีสิทธิในการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ช่วยเหลือที่เหมาะสม รวมถึงการได้รับเงินเงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับนายจ้างที่จ้างคนพิการ และยังได้รับการสนับสนุนการประกอบอาชีพของคนพิการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ  เป็นต้น

โอกาสและความเท่าเทียมเป็นเรื่องที่ไม่ควรมีอุปสรรคมาขวางกั้น หนึ่งในนั้นคือความต้องการของผู้พิการที่ต้องการโอกาสในการเข้าถึงเรื่องงาน การศึกษา การดำเนินชีวิต “การเข้าถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น โปรแกรมสำหรับอ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานง่าย ความเข้าใจจากสังคม โดยเฉพาะเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ความมั่นคงในอาชีพ ไม่ใช่แค่การมีงานทำ แต่ต้องเป็นงานที่มีความก้าวหน้า มีโอกาสในการพัฒนาตนเอง นี่คือเสียงสะท้อนจากผู้พิการทางการมองเห็น” เสาวณี สุวรรณชีพ ทิ้งท้าย.