“เอ-วัน กรุ๊ป” (A-ONE Group) กลุ่มธุรกิจโรงแรมที่เดินทางมากว่า 33 ปี จากรุ่นบุกเบิกอย่าง “มิตร์ รัตนโอภาส” ผู้สร้างรากฐานมาอย่างแข็งแรง ส่งต่อสู่ทายาทรุ่นที่ 2 “สมชัย รัตนโอภาส” ที่เสริมความแกร่งให้กับธุรกิจ วันนี้อาณาจักรเอ-วัน กรุ๊ป กำลังส่งผ่านสู่ทายาทรุ่นที่ 3 ศุภชัย รัตนโอภาส และ ภัทร์ รัตนโอภาส ที่พร้อมต่อยอดธุรกิจของครอบครัว ด้วยการผสานของเดิมและต่อเติมด้วยสไตล์ของคนรุ่นใหม่
อี้-ศุภชัย รัตนโอภาส เป็นบุตรของสมชัยและศุภวรรณ รัตนโอภาส และเป็นลูกคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้อง 3 คน ได้แก่ เพชรไพลิน (พี่สาว) และภัทร์ (น้องชาย) จบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อปริญญาโทด้านการโรงแรมจาก Glion Institute of Higher Education ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หลังจบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ ศุภชัยใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ด้วยการเข้าทำงานในโรงแรมใหญ่อย่าง ริทซ์ คาร์ลตัน สิงคโปร์ เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ก่อนที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว โดยรั้งตำแหน่งผู้ช่วยประธานบริหารกลุ่มบริษัท เอ-วัน กรุ๊ป และกรรมการผู้จัดการโรงแรมมิตร์ พัทยา ดูแลงานด้านการตลาด
ในขณะที่น้องชายอย่าง โบ๊ต-ภัทร์ รัตนโอภาส เลือกเรียนทางด้านการออกแบบจาก International Program in Design and Architecture (INDA) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ MA Interior Architecture and Design ที่ Birmingham City University ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันภัทร์นั่งในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เอ-วัน กรุ๊ป และโรงแรมมิตร์ พัทยา ดูแลภาพรวมของงานด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการออกแบบตกแต่ง
แน่นอนว่าภารกิจหลักในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ของสองพี่น้องคือการสานต่อธุรกิจของครอบครัว และทำให้อาณาจักรเอ-วัน กรุ๊ป เติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป โดยเป็นการเติบโตที่ต่อยอดจากสิ่งที่รุ่นปู่และพ่อทำมา พร้อมเพิ่มสิ่งใหม่อันเกิดจากประสบการณ์ของเขาทั้งสองคนเข้าไป
ปรับภาพลักษณ์โรงแรมสู่การเป็น Art and Entertainment
การได้ไปทำงานที่โรงแรมใหญ่ๆ บวกกับประสบการณ์ในการใช้ชีวิต รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ศุภชัยและภัทร์มีมุมมองในการบริหารโรงแรมที่ต่างออกไป แต่เดิมเอ-วัน กรุ๊ป บริหารโรงแรมโดยเน้นกลุ่มลูกค้าทัวร์จากต่างประเทศเป็นหลักซึ่งอาจไม่ยั่งยืน ทำให้เขามีความคิดที่จะปรับกลยุทธ์โดยหันมาโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น พร้อมปลุกปั้นและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโรงแรมให้รองรับกับลูกค้าทุกเจเนอเรชันและทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ อีกทั้งยังวางโพสิชันนิงของโรงแรมให้เป็น Art and Entertainment ซึ่งนั่นกลายเป็นที่มาของโรงแรมมิตร์ พัทยา (MYTT Hotel Pattaya) โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ในเครือของเอ-วัน กรุ๊ป
โรงแรมมิตร์ พัทยา ตั้งอยู่ใจกลางพัทยาเหนือเป็นโรงแรมหรู 19 ชั้น มีจำนวนห้องพักมากถึง 236 ห้อง ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ทะเลและคลื่นน้ำ ในส่วนของร้านอาหารและเครื่องดื่มยังเป็นสิ่งที่ทั้งศุภชัยและภัทร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และถือเป็นแม่เหล็กของมิตร์ พัทยา เลยทีเดียว
“วันทนา” ห้องอาหารไทยสูตรต้นตำรับที่ตั้งชื่อตามคุณย่าของทั้งสองคน เน้นวัตถุดิบท้องถิ่น จับกลุ่มลูกค้าครอบครัวและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชื่นชอบในรสชาติอาหารไทย,
“Pippa” (พิปป้า) ร้านอาหารกึ่งรูฟท็อปบาร์บนชั้น 19 ของโรงแรม ตกแต่งในธีมป่าเขาธรรมชาติ จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยมีจุดขายอยู่ที่วิวแบบพาโนรามาของหาดพัทยา
นอกจากนั้นมิตร์ พัทยา ยังรุกตลาดไมซ์ทั้งจัดประชุม สัมมนา คอนเสิร์ต และงานสังสรรค์ทุกรูปแบบด้วยห้องจัดเลี้ยงที่จุได้ถึง 1,000 คน อีกด้วย
“จุดเด่นของมิตร์พัทยาคือความ comfort luxury ทั้งเรื่องของโลเคชันและความสะดวกสบาย เราพยายามสร้างความคุ้มให้กับลูกค้า เราไม่ใช่โรงแรมที่มี pool villa แต่มาอยู่ที่นี่แล้วคุณจะได้ครบทุกอย่าง ทั้งห้องพักที่ออกแบบอย่างดี กิจกรรมความบันเทิงต่างๆ รวมถึงร้านอาหารที่หลากหลาย” ศุภชัยกล่าวถึงจุดเด่นของโรงแรมมิตร์ พัทยา
“โรงแรมมิตร์เป็นชื่อของคุณปู่ ในขณะที่ห้องอาหารวันทนาเป็นชื่อของคุณย่า ผมว่ามันเป็นสิริมงคลมากเลยนะครับ” ภัทร์กล่าวเสริม
และด้วยความที่ทั้งสองคนชื่นชอบในเรื่องดนตรี ก่อนโควิด-19 แพร่ระบาดจึงมีการทำโรงแรมมิตร์ให้เป็นแหล่งความบันเทิงแห่งใหม่ของพัทยา จัดคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังและดึงดีเจระดับสากลมาสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของโควิดจึงชะลอการจัดคอนเสิร์ตออกไป
นอกจากโรงแรมมิตร์แล้ว ผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ทั้งสองยังฝากฝีไม้ลายมือไว้ในร้านอาหารและบาร์ที่อยู่ในเครือ เพื่อทำให้กลุ่มโรงแรมเอ-วัน พัทยา เป็น Lifestyle Destination และที่สำคัญยังพยายามปลุกปั้นให้ “พัทยา” เป็นเมืองลักซ์ชัวรี เอ็นเตอร์เทนเมนต์ อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็น “Fat Coco” ซีฟู้ดคลับ ร้านอาหารซีฟู้ดที่เพิ่มสไตล์และใส่ลูกเล่นเข้าไป รองรับผู้มาใช้บริการได้ถึง 400-500 คน ซึ่งศุภชัยกล่าวว่าน่าจะเป็นที่แรกๆ ที่ทำในลักษณะนี้
“Malibrew” ร้านอาหารและบาร์ขนาด 160-200 ที่นั่ง
“Pippin” คาเฟ่ในบรรยากาศของสวนเอเดน อีกหนึ่งจุดเช็กอินของพัทยา
โดยแต่ละที่มีจุดเด่นและสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้มาใช้บริการเป็นอย่างดี โดยภัทร์เปิดเผยว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ต้องผ่านการลองผิดลองถูกและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับตลาดอยู่เสมอ เพราะบางอย่างเรียกว่ามาก่อนกาล
“อย่าง Fat Coco เริ่มทำตอนเรายังเด็กๆ อยู่ ตอนแรกตั้งใจทำเป็นแนวปาร์ตี้บีชคลับจ๋าๆ พ่อกับแม่เขาก็ไฟเขียว พาเขาบินไปดูที่บาหลี บางทีปีละ 4 รอบ เพื่อดูว่าบาร์ดีๆ ทำอย่างไร แต่พอทำจริงมันยังไม่พอดีกับตลาดในช่วงนั้น เลยต้องปรับ หาเหลี่ยมหามุมกันไป ผมมองว่าพัทยายังเป็นเมืองที่มีศักยภาพในด้านความบันเทิงแบบใหม่อยู่ เราก็ต้องเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ”
ในขณะที่ศุภชัยกล่าวเสริมว่า “เราพยายามมองตลอดว่าโรงแรมเราให้มากกว่าคนอื่นอย่างไรได้บ้าง ทำอย่างไรให้ลูกค้าประทับใจในความคุ้มค่ามากที่สุด โดยจากนี้จะเน้นทำการตลาดในประเทศมากขึ้น แต่ต่างประเทศเราก็ไม่ทิ้ง เราทำทุกวันนี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องขยายไปอีกหลายสิบโรงแรมหรือต้องร่ำรวยมากๆ แต่ผมอยากทำให้มันยั่งยืนมากกว่า”
ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ที่มีภารกิจในการสานต่อธุรกิจของครอบครัวย่อมต้องเจอกับความท้าทายในหลายรูปแบบ แต่การมีผู้เป็นพ่ออย่าง “สมชัย รัตนโอภาส” เป็นโค้ชทางธุรกิจ ที่พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ นั่นทำให้ในอนาคตเราน่าจะได้เห็นความแปลกใหม่ของ เอ-วัน กรุ๊ป จากสองผู้บริหารหนุ่มอย่างแน่นอน.