Home > On Globalization (Page 25)

ประเทศแซมเบียประกาศต่อต้านการแต่งงานกับเด็กผู้หญิงที่มีมานาน

 ในแต่ละปี มีเด็กผู้หญิงอย่างน้อย 10 ล้านคน ที่ต้องแต่งงานก่อนที่พวกเธอจะมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ และเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในทวีปแอฟริกาเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นอยู่ทุกๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา หรือแม้กระทั่งในยุโรป เท่ากับว่าในหนึ่งวันจะมีเด็กผู้หญิงประมาณ 25,000 คนที่ถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่พวกเธอยังเป็นเด็กอยู่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนไม่ให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะเรื่องนี้ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะเป็นปัญหาทางครอบครัว หรือวัฒนธรรมในแต่ละประเทศที่มีมานาน แต่การเป็นเจ้าสาวตั้งแต่ยังเด็กนั้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเราทุกคนควรหันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้ประเทศแซมเบียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา มีประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารและปกครองประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกัน และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการประจำชาติ ผู้คนส่วนใหญ่ 75% นับถือศาสนาคริสต์ และอีก 25% นับถือศาสนาอิสลามและฮินดู ประเทศแซมเบียเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มองเห็นความสำคัญเรื่องการแต่งงานกับเด็กผู้หญิง ผู้นำแซมเบียมีความเชื่อว่า ในการพัฒนาประเทศของตัวเอง การหยุดยั้งการแต่งงานตั้งแต่ยังเด็กเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการที่จะพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศอื่นๆผู้นำประเทศแซมเบียได้ตัดสินใจให้มีการรณรงค์ยุติการแต่งงานกับเด็ก ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และยังให้สตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศหรือภรรยาของท่านที่ชื่อ Christine Kaseba มาเป็นผู้ช่วยในการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้กับประชาชนมากขึ้นเกี่ยวกับโครงการนี้หลังจากที่โครงการนี้ได้เริ่มมาเกือบ 5 เดือนแล้ว ก็มีบุคคลสำคัญต่างๆ รวมไปถึงผู้นำทางศาสนาในแซมเบียที่ออกมาสนับสนุนโครงการนี้ และต้องการให้วัฒนธรรมการแต่งงานกับเด็กผู้หญิงหมดไปจากประเทศแซมเบีย ผู้นำทางศาสนายังเรียกร้องให้รัฐบาลจับตัวผู้ที่ต้องการแต่งงานกับเด็กผู้หญิง หรือผู้ที่บังคับเด็กผู้หญิงให้แต่งงานไปเข้าคุกอีกด้วย เพราะถือว่าทำความผิดทางกฎหมายกฎหมายของประเทศแซมเบียระบุไว้ว่า ผู้หญิงจะแต่งงานได้ก็ต่อเมื่อมีอายุอย่างน้อย 21 ปีบริบูรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว

Read More

ความอดอยากไม่สามารถแก้ไขได้ตราบใดที่ผู้หญิงยังไม่ได้รับความเท่าเทียมกันในสังคม

 เมื่อปี 2544 องค์การสหประชาชาติได้ริเริ่มโครงการเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals หรือเรียกสั้นๆ ว่า MDGs) คือ เป้าหมาย 8 ประการที่สมาชิกของสหประชาชาติทั้ง 189 ประเทศ ได้ตกลงที่จะยอมรับและจะพยายามบรรลุเป้าหมายทั้ง 8 ประการนี้ภายในปี 2558 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะขจัดความอดอยากให้หมดไปจากโลก และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นเป้าหมายทั้ง 8 ประการนี้ประกอบด้วย (1) การขจัดความยากจนและความหิวโหยที่ร้ายแรง (2) การพัฒนาการศึกษา ให้ทุกคนได้มีโอกาสเรียนอย่างน้อยระดับประถมศึกษา (3) การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ และให้ผู้หญิงมีสิทธิ์มีเสียงในสังคมมากขึ้น (4) การลดอัตราการเสียชีวิตของเด็ก (5) การพัฒนาสุขภาพอนามัยของแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ (6) การป้องกันโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ (7) การรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน และ(8) การส่งเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างประเทศพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่จะมีขึ้นไปทั่วโลกสองข้อหลักๆ จากทั้งหมด 8 ข้อ ที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องบรรลุให้ได้ภายในปี 2558 คือ (1)

Read More

คนมะกันใช้อินเทอร์เน็ตวินิจฉัยโรคเอง

ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกายุ่งเหยิงน่าปวดหัว ทำให้สหรัฐฯ รั้งที่โหล่ในรายงานการเปรียบเทียบสุขภาพและอายุขัยของประชากรใน 17 ประเทศชั้นนำที่พัฒนาแล้วด้านเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ชาวอเมริกันจำนวนมากไม่ได้ซื้อประกัน และแพทย์ก็ถูกกดดันทั้งด้านเวลาและเงิน จนพวกเขาไม่สามารถให้เวลากับคนไข้มากนัก ทำให้คนหันเข้าหาอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อวินิจฉัยโรคและเรียนรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ มากขึ้นผลการสำรวจของศูนย์วิจัยพิวระบุว่า จากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 3,000 คน มีมากกว่าสองในสามใช้ระบบออน–ไลน์เพื่อสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ อีกหนึ่งในสามใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อวินิจฉัยโรคเอง จากกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว มีประมาณครึ่งหนึ่งยอมไปปรึกษาแพทย์ แม้แต่พระเอกตลอดกาลอย่าง คลินต์ อีสต์วูด ยังยอมรับว่า “มีบ่อยครั้งที่ชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับข้อมูลเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว”ริดสีดวงทวาร–โรคท็อปฮิตใน Googleเราอาจไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงริดสีดวงทวารกันอย่างเปิดเผยมากนัก แต่เชื่อไหมว่า คนจำนวนมากวิตกกังวลกับโรคนี้มาก เพราะเป็นหัวข้อยอดนิยมมากที่สุดหัวข้อหนึ่งในการค้นหาใน Googleริดสีดวงทวารเป็นเนื้อเยื่อที่บวมเป่งบริเวณตอนล่างของทวารและช่องทวารหนัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั่วไปประมาณร้อยละ 75ผู้ป่วยจะมีอาการคัน เจ็บปวด และมีเลือดสดออกมาเวลาถ่ายอุจจาระ การป้องกันทำได้โดยบริโภคอาหารที่มีเส้นใยมากขึ้น ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน และใช้ห่วงยางรองนั่ง นั่งนานๆ เสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพรุนแรงผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาสทริชต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเบอร์นาร์ด ดูวิเวียร์ ยืนยันว่า การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมงหน้าจอโทรทัศน์หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งสิ้นหากคุณนั่งวันละ 14 ชั่วโมง จะมีผลให้ระดับฮอร์โมนอินซูลิน ไขมันในเลือด (โคเลสเตอรอล)

Read More

ผู้หญิงอเมริกันขาดวินัยในการรับประทานยา

 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าตกใจ เมื่อผลจากการวิจัยพบว่าผู้หญิงอเมริกันมักจะไม่ได้รับประทานยาครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผู้ชายแล้วพบว่า ลักษณะนิสัยในการรับประทานยานั้นผู้หญิงมีลักษณะนิสัยที่แย่กว่าผู้ชาย เพราะผู้ชายจะทำตามที่แพทย์สั่งและรับประทานยาจนหมด ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้วผู้หญิงมักจะถูกมองว่าเป็นคนมีระเบียบวินัย และรักษาสุขภาพมากกว่าผู้ชายเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท HealthPrize Technologiesได้มีการจัดทำการสำรวจเกี่ยวกับลักษณะนิสัยในการรับประทานยาขึ้น โดยที่นักวิจัยได้เลือกสอบถามกลุ่มตัวอย่าง มากกว่า 1,000 คน ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายรวมกัน พบว่าโดยปกติแล้วพวกเขามีโอกาสที่จะรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งมาจนหมดหรือเลือกที่จะหยุดรับประทานยาก่อนที่ยาจะหมด เพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองอาการดีขึ้นแล้ว ซึ่งจากการสำรวจในครั้งนี้พบว่า 45% ของผู้หญิงนั้นเลือกที่จะไม่รับประทานยาตามที่หมอสั่งมาจนหมด เพราะว่าตัวเองรู้สึกว่าอาการที่มีอยู่ดีขึ้นแล้ว ในขณะที่มีผู้ชายเพียงแค่ 36% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับความคิดนี้นอกจากนี้ผู้หญิงเกือบหนึ่งในสามของกลุ่มการสำรวจนี้ยังได้ยอมรับด้วยว่า ในบางครั้งพวกเธอเลือกที่จะไม่รับประทานยาตามที่หมอสั่งเลย หรือหยุดการรับประทานยากลางคันไปเลยสำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีอาการป่วยที่ค่อนข้างรุนแรง ในขณะที่มีผู้ชายเพียงแค่ 20% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับความคิดนี้การรับประทานยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่งหรือการเลือกที่จะไม่รับประทานยาเลยนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง แพทย์หญิง Katrina Firlik หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของบริษัท HealthPrize Technologies ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า คนที่ไม่ได้รับประทานยาจนหมดตามที่แพทย์สั่งนั้น ย่อมจะส่งผลกระทบทำให้มีสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอาการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือมีอาการป่วยที่ค่อนข้างรุนแรงก็ตามแพทย์หญิง Katrina ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า โรคที่ทำให้ผู้หญิงอเมริกันเสียชีวิตส่วนใหญ่คือ โรคโคเลสเตอรอลในเลือดสูงและความดันเลือดสูง ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรคเหล่านี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผู้คนไม่ได้รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอถึงแม้ว่าการรับประทานยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่งนั้นอาจจะมีเหตุผลและปัจจัยอื่นๆ

Read More

ข่มขืนผู้เยาว์ไม่ผิด กฎหมายที่กำลังจะถูกแก้ไขในโมร็อกโก

 โดยปกติแล้ว กฎหมายของประเทศส่วนใหญ่หรือแทบจะทุกประเทศเลยก็ว่าได้ จะมีบทลงโทษผู้ที่ข่มขืนผู้เยาว์ ซึ่งบทลงโทษก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ ในทางตรงกันข้ามที่ประเทศโมร็อกโกมีกฎหมายเกี่ยวกับการข่มขืนที่แปลกไปจากประเทศอื่นๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าหากเกิดคดีข่มขืนผู้เยาว์ขึ้น ผู้ที่ทำการข่มขืนจะไม่ถูกลงโทษใดๆ ถ้าหากว่าผู้ที่ข่มขืนยินดีที่จะแต่งงานกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ผู้เยาว์ในประเทศโมร็อกโกหมายถึงเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปีกฎหมายครอบครัวว่าด้วยเรื่องของการแต่งงานและการข่มขืนของประเทศโมร็อกโก มาตราที่ 475 ระบุไว้ว่า (1) บุคคลใดก็ตามที่ทำความผิดในการลักพาตัวหรือหลอกผู้อื่น โดยที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงใดๆ รวมไปถึงการข่มขู่คุกคาม จะต้องได้รับโทษให้ติดคุกเป็นเวลา 1-5 ปี (2) ในกรณีของการข่มขืนผู้เยาว์ ถ้าหากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อยอมตกลงที่จะแต่งงานกับผู้ที่ลงมือข่มขืนเธอ ผู้ที่ทำการข่มขืนจะถือว่าไม่มีความผิดใดๆ ยกเว้นแต่ในกรณีที่มีบุคคลที่มีอำนาจ เช่น พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเหยื่อ และผู้พิพากษาต้องการยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ และมีการประกาศว่าจะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น การแต่งงานถึงจะถูกยกเลิกได้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ทำการข่มขืนหลบหนีจากความผิดที่ได้กระทำไว้จากมาตราที่ 475 นี้ หมายความว่า ผู้ที่ทำการข่มขืนผู้เยาว์จะกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีความผิดใดๆ ก็ต่อเมื่อเหยื่อและผู้ปกครองตกลงว่าจะให้มีการแต่งงานเกิดขึ้นระหว่างผู้ที่เป็นคนร้ายในคดีข่มขืนผู้เยาว์กับผู้เยาว์ที่ตกเป็นเหยื่อของการข่มขืน ซึ่งผู้ที่เป็นคนร้ายไม่สามารถขอยกเลิกการแต่งงานนี้ได้ แต่ถ้าหากภายหลังผู้ปกครองเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาและไม่ต้องการให้มีการแต่งงานนี้เกิดขึ้นก็ยังสามารถยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ได้ในกรณีการข่มขืนผู้เยาว์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศโมร็อกโก ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะยินยอมที่จะแต่งงานกับผู้ที่ลงมือข่มขืนเธอ และพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเธอก็ไม่ได้คิดที่จะคัดค้านการแต่งงานแต่อย่างไร เนื่องจากในสังคมของโมร็อกโกนั้นมีความเชื่อว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายก่อนแต่งงาน ถือเป็นความอัปยศในสังคม และยิ่งเมื่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อถูกข่มขืนมา ศาลและพ่อแม่ส่วนใหญ่มักมีความเห็นที่ตรงกันว่า เหยื่อควรจะตกลงแต่งงานกับผู้ที่ลงมือข่มขืนเธอ เพราะทั้งสองคนได้มีเพศสัมพันธ์กันไปแล้วก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า สิทธิของผู้หญิงในประเทศโมร็อกโกนั้นมีอยู่น้อยมากๆ

Read More

เมื่ออเมริกาอนุญาตให้ขายยาคุมฉุกเฉินกับเด็กได้

ประเทศอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่สามารถทำแท้งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อเดือนที่แล้วศาลชั้นต้นในสังกัดศาลของรัฐบาลกลางในเขตนครนิวยอร์กตัดสินให้ทุกคนสามารถซื้อยาคุมฉุกเฉินได้ตามร้านขายยาโดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ เรื่องนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล Obamaยาคุมฉุกเฉินหรือที่คนอเมริกันเรียกว่า Plan B มีที่มาจากชื่อของแบรนด์ที่ผลิตของยาคุมฉุกเฉิน ซึ่งยาชนิดนี้เป็นยาคุมที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งต้องรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ เมื่อก่อนยาคุมประเภทนี้นิยมใช้สำหรับกรณีที่ผู้หญิงถูกข่มขืน และรับประทานยานี้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ในปัจจุบันนี้ผู้คนกลับใช้ยาคุมฉุกเฉินเสมือนเป็นยาคุมปกติที่นำมาใช้เมื่อลืมป้องกันการตั้งครรภ์ในเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ยาคุมฉุกเฉินนี้ต้องใช้ในกรณีที่ฉุกเฉินและจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้พร่ำเพรื่อ หรือใช้แทนยาคุมทั่วไปสำหรับการป้องกันการตั้งครรภ์ เพราะยาคุมฉุกเฉินนี้มีผลกระทบต่อร่างกายที่รุนแรงกว่ายาคุมกำเนิดโดยทั่วไป เช่น อาจทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย ปวดท้อง และประจำเดือนอาจมาช้าหรือเร็วกว่าปกติ แต่ถ้าหากมีการรับประทานยาคุมฉุกเฉินติดต่อกันเป็นเวลานาน ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินจะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดชนิดปกติ และยาคุมฉุกเฉินยังอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงกว่าคือ อาจมีความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก และรวมไปถึงอาจมีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มขึ้น ดังนั้นยาคุมฉุกเฉินนี้จึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้นเมื่อยาคุมฉุกเฉินมีผลกระทบข้างเคียงสูงเมื่อรับประทานเป็นเวลานาน และมีระยะเวลาในการรับประทานที่ต่างจากการคุมกำเนิดโดยปกติ จึงเกิดคำถามที่ว่า เหมาะแล้วหรือที่จะให้เด็กสามารถซื้อยาคุมฉุกเฉินมารับประทานได้เองก่อนหน้านี้ที่ศาลจะมีการอนุญาตให้เด็กซื้อยาคุมฉุกเฉินได้นั้น ในปี 2542 อเมริกาได้ออกกฎหมายให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินได้ก็ต่อเมื่อมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น โดยที่ไม่สนใจว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ต่อมาในปี 2549 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration หรือที่เรียกสั้นๆว่า FDA) ได้รับรองให้ยาคุมฉุกเฉินสามารถขายได้ที่ร้านขายยาทั่วไป แต่ให้ขายได้สำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 18

Read More

ผู้บริหารรุ่นใหม่ของกลุ่มธุรกิจสินค้าหรู

แบร์นารด์ อาร์โนลต์ (Bernard Arnault) ซื้อกิจการเครื่องหนังหลุยส์ วุตตง (Louis Vuitton) ปลุกปั้นให้ยี่ห้อเก่าแก่กลับมาดัง แล้วจึงซื้อกิจการของชองปาญ Moët-Chandon และเหล้ากอญัค Hennessy ตั้งเป็นกลุ่ม LVMH ซึ่งย่อมาจาก Louis Vuitton Moët Hennessy นั่นเอง แบร์นารด์ อาร์โนลต์ประสบความสำเร็จในธุรกิจสินค้าหรู จนได้เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของฝรั่งเศส และร่ำรวยอันดับสี่ของโลกตามการจัดอันดับของนิตยสาร ฟอร์บส์ (Forbes) หากเงินทองที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้รู้จักพอ เกิดการเสพติดความรวย และยิ่งอยากกว้านซื้อยี่ห้อหรูเข้ามาในอาณาจักร LVMH มองไปรอบข้างก็พบว่ามียี่ห้อที่หรูมาก หรูกว่าบรรดายี่ห้อที่ตนมีอยู่ นั่นคือ แอร์แมส (Hermès) ยิ่งเห็นความสำเร็จของแอร์แมส จึงเกิดความคิดว่าน่าจะ “กวาด” แอร์แมสเข้ามาด้วยอันเป็นที่มาของการแอบซื้อหุ้นของแอร์แมสในตลาดต่างประเทศในสัดส่วน 17.1% และยังคงซื้อต่อไปจนถือหุ้นแอร์แมสอยู่ประมาณ 22.28% โดยมารยาทแล้ว แบร์นารด์ อาร์โนลต์น่าจะแจ้งแก่ผู้บริหารแอร์แมสถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ทำ แอร์แมสยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ให้สอบสวนการกระทำของ LVMH ที่น่าจะผิดกฎของตลาดหลักทรัพย์ แบร์นารด์ อาร์โนลต์ยังคงตั้งหน้าตั้งซื้อหุ้นของแอร์แมส

Read More

Google Store vs. Apple Store

ผมเพิ่งได้มีโอกาสมาแวะชมร้านแอปเปิ้ล (Apple Store) ในย่านกินซ่า ใจกลางกรุงโตเกียว ร้านแอปเปิ้ลร้านนี้ถือเป็นหนึ่งในร้านแอปเปิ้ลที่ครบถ้วนด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ สำหรับเหล่าสาวกแอปเปิ้ลที่จะมีโอกาสสัมผัสและมีประสบการณ์ร่วมกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลทุกตัว   รวมถึงสาวกปัจจุบันที่จะมาต่อยอดประสบการณ์ใหม่ๆ กับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ ที่ออกมาดูดเงินในกระเป๋าของแฟนพันธุ์แท้และขาจร รวมถึงเด็กใหม่อีกหลายๆ คนร้านแอปเปิ้ลมีความน่าสนใจตรงที่พวกเขาทำคอนเซ็ปต์ร้านให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ของเขาคือ มีความมินิมอล น้อยๆ ไม่ยุ่บยั่บ แต่มีรายละเอียดมาก เดินเข้ามาแล้วเข้าใจเลยว่า ต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรได้บ้าง   อย่างไรก็ตาม ในร้านก็มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก และอธิบายการใช้งานผลิตภัณฑ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างเต็มใจ โดยไม่มีท่าทีของการตื๊อให้ซื้อสินค้านอกจากนี้ยังแบ่งแต่ละชั้นสำหรับการทำฟังก์ชันแต่ละอย่าง ตั้งแต่การให้ทดลองใช้ ซื้อสินค้า ห้องสัมมนาแนะนำสินค้า รวมถึงการให้คำปรึกษาต่างๆ ผ่าน Genius Bar ร้านแอปเปิ้ลจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่หน้าตาของแอปเปิ้ลที่เปิดออกสู่สาธารณชนเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลถึงมือผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด และสร้างรายได้มหาศาลให้กับแอปเปิ้ล โดยมีรายงานว่า ร้านแอปเปิ้ลสามารถสร้างรายได้ต่อตารางฟุตสูงที่สุดในโลก ดังตารางข้างล่างนี้  อันดับร้านยอดขายต่อตารางฟุต (เหรียญสหรัฐ)1Apple Stores6,0502Tiffany & Co.3,0173lululemon athetica1,9364Coach1,8715Michael Kors1,4316Select Comfort1,3147True Religion1,2278Vera Bradley1,1869Birks & Mayors1,08210Fairway Market1,081 โดยเป็นการจัดอันดับของ Retail

Read More

โรงงานนรกสำหรับแรงงานหญิงในบังกลาเทศ

 เมื่อสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวอุบัติเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตเสื้อผ้าในบังกลาเทศ มีผู้หญิงเสียชีวิตด้วยกันถึง 7 คน เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายเริ่มวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของแรงงานหญิงเหล่านี้ เพราะประเทศในแถบเอเชียใต้อย่าง บังกลาเทศ และปากีสถานนั้น เป็นที่ตั้งของโรงงานเสื้อผ้าเป็นจำนวนมาก และเจ้าของโรงงานเหล่านี้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงาน ภายในโรงงานไม่มีการติดตั้งบันไดหนีไฟหรือทางออกฉุกเฉินไว้ ไม่มีแม้กระทั่งถังดับเพลิงเพื่อไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน และไม่มีการฝึกซ้อมหนีไฟให้กับพนักงาน ดังนั้นพนักงานที่ทำงานในโรงงานเหล่านี้ในแต่ละวันล้วนแต่ทำงานไปพร้อมกับความเสี่ยงอันตราย โรงงานเย็บผ้าที่เป็นเหมือนความฝันที่จะเปลี่ยนชีวิตจึงกลายเป็นโรงงานนรกที่ต้องทำงานด้วยความเสี่ยงทุกวันแทน  ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทของประเทศบังกลาเทศและปากีสถานส่วนใหญ่นั้นจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบาก จึงไม่เป็นที่แปลกใจนักที่พวกเธอเหล่านี้จะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงเพื่อหางานทำและมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และเพราะพวกเธอเหล่านี้มีการศึกษาน้อย อาชีพในฝันของพวกเธอที่จะทำให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็คือ การทำงานในโรงงานเย็บเสื้อผ้า ที่ไม่ได้ต้องการคนที่มีการศึกษาสูง แต่โรงงานเย็บผ้าเหล่านี้ไม่ได้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการทำงานเลย เพราะโรงงานเหล่านี้ไม่เคยสนใจเรื่องความปลอดภัยและสวัสดิการของพนักงาน สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือ ต้องการจ่ายค่าจ้างแรงงานถูก อย่างเช่นที่เมืองธากา (Dhaka) ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกในการผลิตเสื้อผ้านั้น ในแต่ละปีจะมีผู้หญิงจากชนบทย้ายเข้ามาในเมืองหลวงประมาณ 400,000 คน เพื่อทำงานในโรงงานเย็บผ้า พวกเธอเหล่านี้ต้องทำงานกันทุกวันโดยที่ไม่มีวันหยุด รวมไปถึงวันหยุดราชการด้วย พวกเธอต้องทำงานอย่างน้อยวันละ 8 - 12 ชั่วโมง และได้รับเงินเดือนเพียงแค่ 31 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 930 บาท) และถ้าพวกเธอทำงานตอนกลางคืนหรือทำงานล่วงเวลาก็จะได้เงินเดือนเพิ่มเป็น 37 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 1,110

Read More

ยุทธศาสตร์รถไฟ: สร้างรางเพื่อสร้างเมือง

 ความพยายามของประเทศไทยที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ว่าด้วยเรื่องการคมนาคมขนส่งให้ก้าวหน้าและสามารถรองรับกับการจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ประสานกับบทบาทของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ระบุว่าการพัฒนาระบบรางของไทยมีความจำเป็น และกำลังศึกษารูปแบบที่เหมาะสมจากหลากหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าต้องมีญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในตัวแบบของการพัฒนาด้วย ข้อสังเกตที่น่าสนใจมากประการหนึ่งก็คือ แม้พัฒนาการของระบบรถไฟในประเทศยุโรปอีกหลายชาติจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก และมีการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในกรณีของเยอรมนีที่บริหารโดย Deusche Bahn: DB หรือในกรณีของอังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งต่างเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าและพร้อมจะส่งออกวิทยาการเหล่านี้ ไม่นับรวมจีนที่หมายมั่นปั้นมือที่จะเบียดแทรกเข้าสู่ตลาดนี้ด้วยเช่นกัน แต่ภายใต้การจำเริญเติบโตของเมืองในสังคมการผลิตแบบเอเชีย ที่มีความใกล้เคียงกันระหว่างไทยและญี่ปุ่น บางทีประสบการณ์จากญี่ปุ่นอาจให้คำตอบที่ใกล้เคียงกับความต้องการของสังคมไทยในห้วงยามนี้  พัฒนาการของโครงข่ายการคมนาคม ด้วยระบบรางในประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะจำเริญเติบโตจากผลของระดับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ซึ่งผลักดันให้ญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีกิจการรถไฟอยู่ในระดับที่ก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกแล้ว กิจการรถไฟในญี่ปุ่นยังเป็นกรณีที่มีความเกี่ยวเนื่องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับชาติอย่างยากจะแยกออก  ระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ส่งผลให้กิจการรถไฟในญี่ปุ่น ก้าวข้ามบริบทของการเป็นเพียงบริการสาธารณะที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับประชาชนสำหรับการเดินทางในประเทศไปอีกขั้น เมื่อนวัตกรรมที่เป็นผลผลิตจากระบบรถไฟของญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น MagLev (Magnetic levitation) หรือรถไฟความเร็วสูง (Bullet Train: Shinkansen) กำลังแปลงสภาพเป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามหาศาลอีกชนิดหนึ่ง ที่พร้อมรุกเข้าสู่การรับรู้ของผู้คนในทุกภูมิภาคโดยเฉพาะการสร้างโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงระหว่างเมืองทั่วอาเซียนในอนาคต ยุทธศาสตร์การพัฒนาของรถไฟความเร็วสูง หรือ Shinkansen ของญี่ปุ่นอาจให้ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและเป็นที่กล่าวถึง โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าการเดินทางระหว่างเมืองใหญ่สำคัญของญี่ปุ่นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีราคาย่อมเยากว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน แต่พัฒนาการที่ว่านี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากการวางโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง  ความเป็นมาของกิจการรถไฟในญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 1872 เมื่อเส้นทางการเดินรถไฟสายแรกระหว่าง Shinbashi ซึ่งเป็นทั้งย่านธุรกิจและคลังสินค้าขนาดใหญ่ในกรุงโตเกียวกับเมืองท่า Yokohama เปิดให้บริการ โดยมีพิธีเปิดอย่างเอิกเกริกที่สถานีต้นทางทั้งสองแห่ง  ตลอดเส้นทางที่รถไฟสาย

Read More