วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
Home > Cover Story > MR. D.I.Y. ค้าปลีกจากกัวลาลัมเปอร์ กับเป้า 1,000 สาขา ทั่วเมืองไทย

MR. D.I.Y. ค้าปลีกจากกัวลาลัมเปอร์ กับเป้า 1,000 สาขา ทั่วเมืองไทย

เผลอแป๊บเดียว ร้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านจากกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่มาพร้อมกับคำว่า “Always Low Prices” อย่าง MR. D.I.Y. ก็เข้ามาบุกตลาดในเมืองไทยครบ 7 ปีไปหมาดๆ และยังขยายสาขาอย่างรวดเร็วจนทะลุ 700 สาขาเป็นที่เรียบร้อย และที่สำคัญยังตั้งเป้าเปิดให้ครบ 1,000 สาขาภายในปี 2568 อีกด้วย

เส้นทางการเติบโตของ MR. D.I.Y. เป็นอย่างไร และอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์ค้าปลีกสัญชาติมาเลเซียแบรนด์นี้

MR. D.I.Y. (มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.) ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2548 โดยผู้ก่อตั้งอย่าง Mr. Tan Yu Yeh ที่ต้องการแก้เพนพอยต์ของผู้คนในมาเลเซียที่ต้องการซ่อมแซมบ้านด้วยตัวเอง แต่กว่าจะซ่อมบ้านได้แต่ละครั้งต้องเสียเวลาทั้งวันในการตระเวนหาซื้ออุปกรณ์ที่ต้องการจากหลายๆ ร้าน เพราะยังไม่มีร้านที่รวบรวมอุปกรณ์ต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน นั่นทำให้ Tan Yu Yeh ตัดสินใจเปิดร้าน MR. D.I.Y. ขึ้นเป็นสาขาแรกที่รัฐจารัน ตนกู อับดุล ระห์มัน กรุงกัวลาลัมเปอร์ รวบรวมอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านต่างๆ มาไว้ในร้านเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

ในช่วงแรก MR. D.I.Y. เป็นร้านเล็กๆ ที่เน้นขายสินค้าประเภทฮาร์ดแวร์อย่างอุปกรณ์ซ่อมบ้านและอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กเป็นหลัก ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นำไปสู่การเพิ่มหมวดสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นและมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง จากร้านเล็กๆ ปี 2552 เริ่มขยายสาขาเข้าสู่ศูนย์การค้า โดยเปิดสาขาแรกใน AEON Mall Taman ตามมาด้วย Tesco Setia Alam ในปี 2553

ปัจจุบัน MR. D.I.Y. กลายเป็นร้านขายอุปกรณ์แต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ด้วยจำนวนสาขามากกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่าง Mr. Tan Yu Yeh ขึ้นแท่นเศรษฐีหมื่นล้าน โดยอยู่ในอันดับที่ 9 จากการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีมาเลเซีย ประจำปี 2566 ของนิตยสาร Forbes ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์

หลังสร้างการเติบโตในมาเลเซียนานกว่า 10 ปี MR. D.I.Y. ตัดสินใจสยายปีกธุรกิจด้วยการบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยคือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญในครั้งนั้น

ปี 2559 MR. D.I.Y. เริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย โดยเปิดสาขาแรกที่ซีคอน บางแค ถัดมาเพียงหนึ่งปี MR. D.I.Y. เปิดสาขาเพิ่มเป็น 50 สาขา และเปิดจนครบ 100 สาขาในปี 2561 และหลังจากนั้นก็เดินหน้าเปิดสาขาอย่างต่อเนื่องในอัตราเร่งแบบก้าวกระโดด

ปัจจุบัน MR. D.I.Y. ในไทยมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 746 สาขา ใน 72 จังหวัดทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2566) เฉลี่ยแล้วมีการเปิดสาขาใหม่ 100 กว่าสาขาต่อปี และมีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซียที่เป็นต้นกำเนิด โดยคิดเป็นกว่า 20% จากจำนวนสาขาทั่วโลกที่มีกว่า 3,500 สาขา ใน 11 ประเทศ ที่ MR. D.I.Y. เข้าไปทำการตลาด ได้แก่ มาเลเซีย, ไทย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, สเปน, ตุรกี, กัมพูชา, อินเดีย และเวียดนาม อีกทั้งไทยยังเป็นที่ตั้งของศูนย์กระจายสินค้าอีก 9 แห่ง

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา MR. D.I.Y. เปิดสาขาใหม่ไปถึง 186 สาขา อีกทั้งยังถือโอกาสครบรอบ 7 ปี ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกขึ้นที่เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ซึ่งถือเป็นสาขาที่ 700 ของ MR. D.I.Y. ในไทยอีกด้วย

ทั้งนี้รูปแบบสาขาของ MR. D.I.Y. มี 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่ 1. สแตนด์อโลน ตั้งอยู่นอกศูนย์การค้า มีขนาด 300 ตร.ม. ขึ้นไป 2. สาขาในศูนย์การค้า มีขนาด 300 ตร.ม. ขึ้นไปเช่นกัน และ 3. แบบเอ็กซ์เพรส (MR. D.I.Y. Express) ขนาดไม่เกิน 300 ตร.ม. ซึ่งทุกรูปแบบและทุกสาขา MR. D.I.Y. เป็นผู้บริหารจัดการเองทั้งหมด โดยไม่มีระบบแฟรนไชส์

สำหรับสินค้าที่วางจำหน่ายมีมากกว่า 15,000 รายการ ประกอบด้วย 10 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องมือช่าง, ของใช้ในครัวเรือน, อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์ประดับยนต์, อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา, ของเล่นและของขวัญ, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ, อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงเครื่องประดับและเครื่องสำอาง ราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหน่วยไปจนถึงหลักพันบาท และมียอดซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาทต่อใบเสร็จ โดยมีของใช้ในครัวเรือน, อุปกรณ์เครื่องมือช่าง, อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา เป็นสินค้าขายดีอันดับต้นๆ ของร้าน

ในขณะที่แฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในไทยที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้น ถือเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปีในการเปิดสาขาของ MR. D.I.Y. ด้วยพื้นที่รวม 1,285 ตารางเมตร มีไฮไลท์อยู่ที่พื้นที่จัดแสดงสินค้ายาวกว่า 12 เมตร และนวัตกรรมกระจกอัจฉริยะ (Smart Mirror) สำหรับจัดแสดงแคมเปญและโปรโมชั่นในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อให้เข้ากับเอกลักษณ์ของเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ คาดว่ารองรับลูกค้าได้กว่า 2,000 คนต่อวัน

แอนดี้ ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลา 7 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เกิดอัตราการจ้างงานในพื้นที่ชุมชนที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจมากกว่า 8,000 อัตรา และการเปิดสาขาแฟลกชิปสโตร์ถือเป็นการเปิดสาขาภายในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปีของเรา เพื่อเจาะกลุ่มผู้พักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของกรุงเทพฯ เพราะแวดล้อมด้วยที่พักอาศัยและประชากรหลายล้านคน”

นอกจากเปิดแฟลกชิปสโตร์แล้ว ปีที่ผ่านมา MR. D.I.Y. ยังรุกตลาดอีคอมเมิร์ซเป็นครั้งแรกในไทย ด้วยการเปิดตัวช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.mrdiy.co.th และออนไลน์สโตร์บน Shopee Mall เพิ่มเติม จากแต่เดิมที่โฟกัสที่การขยายสาขาเป็นหลัก ทำให้ที่ผ่านมายอดขายสินค้าจากช่องทางออนไลน์ยังอยู่เพียง 1% เท่านั้น โดยหลังจากนี้ MR. D.I.Y. จะหันมาโฟกัสช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า

ซึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ MR. D.I.Y. นำมาใช้ในการรุกออนไลน์นั้น จะไม่ใช่การนำสินค้าทั้ง 15,000 รายการ มาวางขายบนออนไลน์ทั้งหมด แต่จะคัดเลือกสินค้าที่ขายดีมาขายบนช่องทางออนไลน์ อีกทั้งยังมีสินค้าแบบขายส่งที่ยิ่งซื้อมากยิ่งถูกลงอีกด้วย

“สะดวก หลากหลาย คุ้ม” Key Success ของ MR. D.I.Y.

ไม่เพียงจำนวนสาขาที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่ผลประกอบการของ MR. D.I.Y. ในไทยก็ไปได้สวยเช่นกัน แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าโตแบบสวนกระแสเลยทีเดียว เพราะยังสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 32.4% ขึ้นแท่นผู้นำในตลาดค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านในประเทศไทย

โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าปี 2562 MR. D.I.Y. มีรายได้ 2,572 ล้านบาท กำไร 38 ล้านบาท, ปี 2563 รายได้ 3,411 ล้านบาท กำไร 58 ล้านบาท, ปี 2564 รายได้ 4,570 ล้านบาท กำไร 58 ล้านบาท, ปี 2565 รายได้ 7,037 ล้านบาท กำไร 149 ล้านบาท และสิ่งที่ทำให้แบรนด์ต่างชาติอย่าง MR. D.I.Y. เป็นที่ยอมรับและยืนระยะมาได้นานขนาดนี้ “แอนดี้ ชิน” เปิดเผยว่ามาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ

“ความสะดวกสบาย” เพราะมีจำนวนสาขากว่า 700 สาขา กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่สามารถเลือกช้อปได้ 24 ชั่วโมง เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า

“ความหลากหลาย” มีสินค้ามากถึง 15,000 รายการ ใน 10 หมวดหลัก ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกเพศทุกวัยรวมถึงสัตว์เลี้ยง

“ราคา” ถือเป็นจุดแข็งและกลยุทธ์สำคัญของ MR. D.I.Y. เพราะเน้นสินค้าที่ราคาคุ้มค่าตามแท็กไลน์ของแบรนด์อย่าง “Always Low Prices – ราคาถูกคุ้มเสมอ” ซึ่งการที่สินค้าของ MR. D.I.Y. ราคาถูกนั้นเป็นไปตามกลไกของ Economics of scale ซึ่งเกิดจากการจัดหาสินค้าจำนวนมากเพื่อป้อนให้กับร้านสาขาที่มีมากถึง 3,500 สาขา ใน 11 ประเทศ ที่ยิ่งสั่งสินค้ามากก็จะได้ราคาที่ถูกลงสามารถคุมต้นทุนได้

นั่นทำให้ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา MR. D.I.Y. เป็นหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในใจลูกค้าชาวไทย และมีการเติบโตมาเป็นลำดับ

สำหรับแผนธุรกิจต่อจากนี้ MR. D.I.Y. จะเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเติม ตั้งเป้าภายในปี 2568 จะเปิดให้ครบ 1,000 สาขาใน 77 จังหวัด และมีแผนขยายสาขาในภาคอีสานและภาคใต้เพิ่มเติม โดยเน้นเปิดสาขาแบบสแตนด์อโลนที่ปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 66% จากสาขาทั้งหมดในไทย เพราะเป็นรูปแบบสาขาที่มีความสำคัญในการเติบโตของแบรนด์ เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้จำนวนมากและหลากหลาย

ถือเป็นแบรนด์ต่างชาติอีกหนึ่งแบรนด์ที่ยืนระยะในเมืองไทยมาได้นานพอควร และมีเส้นทางการเติบโตที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญ หลังจากนี้เราคงได้เห็นร้านสีเหลืองที่มีโลโก้เป็นรูปค้อนของ MR. D.I.Y. หนาตามากขึ้นอย่างแน่นอน.