การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบตั้งแต่รุ่งอรุณ ภายใต้ความกดดันมากมายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในชีวิตอย่างช้าๆ และเงียบงัน
ภาวะความเครียดที่สะสมอยู่ภายใน อัดแน่นในห้วงอารมณ์ความรู้สึก จนบางคนไม่สามารถรู้ตัวได้เลยว่า ความเครียดได้ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อมีเหตุที่เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายมาจุดชนวนระเบิดและปลดเปลื้องความขึ้งเครียดนั้นออกมา
ซึ่งแน่นอนว่าผลร้ายที่เกิดตามมาไม่ได้จำกัดวงแห่งหายนะที่ทำลายความรู้สึกในจิตใจแค่เฉพาะตัวเองเท่านั้น ผู้คนรอบข้างที่มีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกัน ย่อมได้รับผลกระทบนั้นด้วย
ชีวิตที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย การกดดันตัวเองจากบทบาทหน้าที่ การงาน จนก่อให้เกิดความเครียดที่ฝังรากลึกอยู่นั้น เป็นส่วนสำคัญให้จิตใต้สำนึกเรียกร้องโหยหาแหล่งพลังงานใหม่ สถานที่ที่จะได้ปล่อยกาย พักใจ เดินออกจากภวังค์แห่งความวิตก ให้หัวใจ ร่างกาย และสมองได้ทำความรู้จักกับความสุขอีกครั้ง
ปัจจุบันมีการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากการตั้งแคมป์ หรือการเดินป่าอย่างที่หลายคนยังให้ความนิยม แต่การท่องเที่ยวรูปแบบนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากป่ามาเป็นตัวช่วยในการบำบัดและเยียวยาจิตใจ ที่รู้จักกันในชื่อ “อาบป่า” Forest Bathing หรือ Forest Therapy
การอาบป่า มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นในยุค 80 คนญี่ปุ่นเรียกว่า “Shinrin-yoku” (ชินริน-โยกุ) มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนแนวคิดการอาบป่า ว่าเป็นศาสตร์ที่ช่วยบำบัดร่างกายและเยียวยาจิตใจได้จริง กระทั่งเริ่มแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป เช่น เยอรมนี ฟินแลนด์
การอาบป่า ไม่ใช่การเข้าไปอาบน้ำในป่าเขาลำเนาไพร แต่เป็นการนำพาร่างกายอันอ่อนล้าจากภาวะความเครียดจากเรื่องต่างๆ ที่ต้องเผชิญ ไปเข้าใกล้ธรรมชาติพร้อมกับจิตใจที่ยินดีจะเปิดรับการบำบัด และการอาบป่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะการเดินป่าขั้นสูงแต่อย่างใด เพราะศาสตร์แห่งการอาบป่าไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปในป่าลึก
หากแสงแดดยามเช้าในเมืองหลวงคือสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความเร่งรีบ แสงแดดจากพระอาทิตย์ดวงเดียวกันที่ฉายฉานอยู่ในป่าใหญ่คงเป็นสัญญาณแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง เมื่อความอบอุ่นจากแสงยามเช้าที่อาบไล้ผิวกายช่วยบำบัดอารมณ์และจิตใจให้สงบได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ป่าและธรรมชาติ ยินดีต้อนรับเราเสมอ เมื่อเราพร้อมที่จะเปิดใจรับการบำบัด ก่อนจะเข้าสู่การบำบัดอย่างเป็นทางการ เราควรปิดหรืออยู่ห่างจากอุปกรณ์สื่อสารเพื่อให้ตัวเองได้อยู่กับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์
ปิดตัวเองจากโลกภายนอก เปิดสัญชาตญาณและประสาทสัมผัส ด้วยการหลับตาลง ประสาทหูจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เสียงที่สอดประสานกันในเวลาที่เราเปิดตาอาจทำให้เราแยกเสียงของสิ่งต่างๆ ได้ยาก ทว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหลับตา ผลที่ได้คือเรื่องอัศจรรย์
เสียงใบไม้ที่ปลิวกระทบกันยามที่ต้องสายลม เสียงนกที่ขับขานร้องหาคู่ หรือร้องส่งสัญญาณระหว่างฝูง เสียงสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ เสียงที่เราแทบไม่เคยได้ยินได้ฟังชัดๆ เมื่อเวลาที่เราอยู่ในเมือง เพราะเสียงของสรรพสิ่งที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่กลบเสียงของธรรมชาติ ไปจนหมดสิ้น หรือแม้แต่เสียงแจ้งเตือนจากเครื่องมือสื่อสาร แท้จริงแล้วเสียงจากธรรมชาติไม่เคยหายไปไหน แต่เป็นตัวเราเองต่างหากที่ละเลยที่จะฟัง หรือแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ เสียงหัวใจของตัวเอง เราก็อาจได้ยินชัดเจนขึ้นเมื่อได้อยู่กับตัวเอง
ในแต่ละวันหน้าจอสี่เหลี่ยมจากมือถือและคอมพิวเตอร์ที่คอยส่องแสง Blue Light มาทำร้ายดวงตาของเราเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน และคนส่วนใหญ่จะมองแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า การอาบป่าจะทำให้เราละสายตาจากกรอบสี่เหลี่ยม และมองสรรพสิ่งรอบตัวได้ชัดเจนขึ้น การฝึกมองภายใต้รัศมีของดวงตาจะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นตามธรรมชาติได้ดีขึ้นด้วยการวาดแขนเป็นวงกลมทั้งจากด้านข้างและด้านบน
การฝึกมองเช่นนี้สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ฝึกให้เป็นคนละเอียดรอบคอบมากขึ้น มองสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวให้มากขึ้น
จากการที่เราต้องสูดรับมลภาวะเป็นพิษเข้าร่างกายอยู่ทุกวัน การอาบป่าเหมือนเป็นการทำ Therapy ด้วยกลิ่นจากธรรมชาติ ไอดิน กลิ่นดอกไม้ ใบไม้ ต้นไม้ เสมือนยาขนานเอกที่เยียวยาและฟื้นฟูสภาพร่างกายจากภายในได้เป็นอย่างดี การสูดหายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอดและผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า กลิ่นหอมที่ให้ความสดชื่นสามารถบำบัดและฟื้นฟูร่างกายได้ดี นักวิจัยและพัฒนาจำนวนไม่น้อยที่พยายามเลียนแบบธรรมชาติ ด้วยการรังสรรค์กลิ่นจากธรรมชาติให้เหมือนหรือใกล้เคียงที่สุด สำหรับคนที่ไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาที่จะเดินทางไปหาธรรมชาติ ทว่า ก็ยังมีความแตกต่างอยู่ไม่น้อย
การเดินทอดน่องในป่า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ถูกผสานเข้าไปในการอาบป่า ด้วยการค่อยๆ ใช้ประสาทสัมผัสที่มีอยู่ในตัวให้ทำงาน ปกติแล้วในชีวิตประจำวันของผู้คนมักจะดำเนินไปด้วยความเร่งรีบ นับตั้งแต่ออกจากบ้านไปจนถึงที่ทำงาน และนั่นอาจทำให้เราละเลยที่จะพิศสิ่งต่างๆ รอบตัว
ทว่า การเดินป่าในระยะทางสั้นๆ ด้วยอัตราความเร็วที่ลดลงหลายเท่าตัว จะทำให้เราค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายให้สอดรับกับธรรมชาติได้อย่างแท้จริง จังหวะสาวเท้าที่ค่อยๆ จรดปลายเท้าลงก่อนที่จะวางส้นเท้าลงบนผืนดิน เพื่อให้สายตาได้สอดส่องดูว่า เราได้เหยียบย่ำสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ใช้ชีวิตบนพื้นดินอันกว้างใหญ่นี้หรือไม่ เพราะมดหรือแมลงตัวเล็กต่างมีชีวิตและดำรงคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ
ให้ร่างกายได้เคลื่อนผ่านธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ข้างทาง พิจารณาความเป็นไปของธรรมชาติที่ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน เถาวัลย์น้อยใหญ่ ไม้เลื้อยที่ต้องอาศัยไม้ใหญ่ในการเติบโต ดอกไม้ที่ต้องอาศัยหมู่ภมรในการผสมเกสร องค์ประกอบที่มนุษย์ต้องไม่รังสรรค์ให้เกิดขึ้น แต่ธรรมชาติยังต้องพึ่งพามนุษย์ในแง่ของการดูแลรักษา ด้วยการไม่ไปทำลาย ปล่อยให้ดอกไม้ยังคงชูช่ออยู่บนก้านดอกตามเดิม ปล่อยให้ใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นเป็นปุ๋ยอินทรีชั้นดีที่จะบำรุงดินในอนาคต
สุรศักดิ์ เทศขจร เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจกรรมพิเศษและประชาสัมพันธ์นิตยสารสารคดี ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การ “อาบป่า” ในปัจจุบัน บอกเล่ากับ “ผู้จัดการ 360” ว่า “เราอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าป่า เพื่ออาบป่า แต่ใช้ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง อาจใช้เวลาเพียง 10 นาที นั่งมองต้นไม้เล็กในกระถางในห้องนอน โต๊ะทำงาน หรือแม้แต่สวนหน้าบ้าน หลับตาฟังเสียงที่เกิดขึ้น ปล่อยใจและสมองให้อยู่นิ่งๆ วางเรื่องวิตกกังวล หรือทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ด้วยระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ธรรมชาติรอบตัวเยียวยาเราได้แล้ว”
การอาบป่าเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ล่าสุดศุภาลัยใช้จุดเด่นของพื้นที่ ศุภาลัย ป่าสัก รีสอร์ท แอนด์ สปา จัดกิจกรรมอาบป่าในระยะเวลาสั้นๆ ร่วมกับนิตยสารสารคดี แม้จะไม่ได้เปิดกิจกรรมการอาบป่าสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ทว่า ในอนาคตอาจใช้กิจกรรมนี้ชูขึ้นมาเป็นจุดเด่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการเยียวยาจิตใจด้วยธรรมชาติบำบัด
ในสังคมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ก่อให้เกิดภาวะความเครียดแก่ผู้คน การ “อาบป่า” จะกลายเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวแนวใหม่ ที่เราจะอนุญาตให้ตัวเองได้รับการบำบัดเยียวยาจิตใจจากธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับหรือกะเกณฑ์ เมื่อผลดีของการอาบป่าไม่ใช่แค่ให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย แต่จิตใจจะได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราดูแลธรรมชาติด้วยการปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไปตามวิถีที่ควรจะเป็น ธรรมชาติจะดูแลเราในยามที่เราเพรียกหา