วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
Home > Cover Story > อสังหาฯ บูมโคเวิร์กกิ้งพุ่งเท่าตัว JustCo เร่งเครื่องยึดตลาด

อสังหาฯ บูมโคเวิร์กกิ้งพุ่งเท่าตัว JustCo เร่งเครื่องยึดตลาด

น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลุกกระแสความนิยมการใช้พื้นที่ทำงานนอกกรอบสไตล์ “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” เพราะคนจำนวนมากต้องเปลี่ยนรูปแบบมาทำงานที่บ้านและใช้บริการตามร้านกาแฟ ร้านฟาสต์ฟู้ด จนกระทั่งเกิดธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ สอดรับกับจำนวนของฟรีแลนซ์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี

ขณะเดียวกันพื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอใจกลางเมืองมีจำนวนน้อยและราคาแพง ยิ่งทำให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในทำเลทอง ถนนสาทร สีลม ราชเทวี สุขุมวิท ซอยอารีย์ ลาดพร้าว รวมถึงจังหวัดใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ สงขลา และเมืองท่องเที่ยว

ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซขยายตัวอย่างรวดเร็ว และปรับเปลี่ยนจากเดิมที่มีเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการไทยเพียงไม่กี่ราย เปิดบริการตามตึกขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เริ่มมีผู้เล่นมากขึ้นและเน้นการสร้างพื้นที่ขนาดใหญ่มากกว่า 2,000 ตารางเมตร

ทุกรายแข่งดีไซน์แนวสร้างสรรค์ มีบริการหลากหลายรองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ และเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักไม่ใช่แค่ฟรีแลนซ์แบบเดิม แต่ขยายจับกลุ่มลูกค้าประเภทองค์กร ทั้งบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางที่ต้องการใช้โคเวิร์กกิ้งสเปซเป็นสำนักงานหลัก ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถใช้โคเวิร์กกิ้งสเปซเป็นสำนักงานย่อย หรือสำรองที่นั่งทำงานไว้สำหรับให้พนักงานที่ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ

แน่นอนว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลบวกโดยตรงจากธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซ ทั้งในแง่การขายพื้นที่ การเช่าพื้นที่และการดึงดูดลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่ต้องการบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพียงเพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น แต่ต้องสร้างสังคมหรือ “คอมมูนิตี้” ในกลุ่มลูกบ้าน มีรายละเอียด ความรู้สึกและเอื้อต่อการทำงานที่ไม่อยู่ในกรอบแบบเดิมๆ

ทั้งนี้ ดูเหมือนว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ชูจุดขายด้านไลฟ์สไตล์อย่าง “แสนสิริ” มองเห็นเทรนด์ชัดเจน ตัดสินใจลงทุน 2,800 ล้านบาท เข้าร่วมถือหุ้นใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก เพื่อขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในตลาดโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการร่วมถือหุ้นในบริษัท จัสท์โค (JustCo) ผู้ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังชิมลางจับมือกับบริษัท ฮับบา ไทยแลนด์ เปิด “ฮับบาโตะ” (HUBBA-TO) สถานที่ทำงานนอกบ้านและออฟฟิศ โค-ครีเอชัน คอมมูนิตี้ (Co-Creation Community) ในโครงการฮาบิโตะย่านสุขุมวิท 77 และได้ผลตอบรับอย่างดีจากกลุ่มเป้าหมาย

ปัจจุบันจัสท์โคถือเป็น 1 ใน 4 แบรนด์ชั้นนำต่างชาติที่เข้ามารุกตลาดไทยอย่างจริงจังและประกาศตั้งเป้าหมายเป็นเบอร์ 1 ภายใน 5 ปีด้วย

สำหรับผู้ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซระดับพรีเมียมรายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์เจ้านี้ ก่อตั้งเมื่อปี 2558 มีการลงทุนในประเทศสิงคโปร์และประเทศต่างๆ รวม 21 สาขา พื้นที่รวม 70,000 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด Make Work Better, Together เน้นการสร้างนิยามใหม่ของการทำงานแบบใช้พื้นที่ร่วมกันที่แฝงความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา เปิดโอกาสให้ทุกคนได้รู้จัก มีปฏิสัมพันธ์กัน และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ

ล่าสุด จัสท์โคยังประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนกับจีไอซี (GIC) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ และเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มโคเวิร์กกิ้งสเปซให้ครอบคลุมทั่วเอเชีย ทั้งจีน เกาหลี เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย และออสเตรเลีย โดยมีแผนเปิดสาขา 100 แห่ง ใน 13 ประเทศทั่วเอเชียภายในสิ้นปี 2563 พื้นที่รวม 220,000-250,000 ตร.ม.

ในประเทศไทยนั้น จัสท์โคเปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ในอาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ พื้นที่ 3,200 ตร.ม. และอาคารแคปปิตอลทาวเวอร์ ออลซีซั่นเพลส พื้นที่ 6,000 ตร.ม. รวมทั้งเตรียมเปิดสาขาที่ 3 ในโครงการสามย่านมิตรทาวน์ พื้นที่ 8,000 ตร.ม. โดยจะเป็นสาขาขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และวางแผนภายใน 5 ปี จะเปิดให้ได้ 30 สาขา

คง วัน ซิง ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จัสท์โค สิงคโปร์ กล่าวว่า ตลาดโคเวิร์กกิ้งสเปซในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากฐานมาร์เก็ตแชร์ 1% ในตลาดออฟฟิศเกรดเอทั้งหมด 5 ล้าน ตร.ม. คาดไม่เกิน 10 ปี อาจโตได้ 5-10% ใกล้เคียงประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วน 8-9% อีกทั้งลูกค้าโคเวิร์กกิ้งสเปซเกินครึ่งมีดีมานด์ในไพรม์แอเรียเป็นหลัก เช่น ย่านพระราม 4 ต่อเนื่องสีลม ปทุมวัน ที่อนาคตจะพลิกโฉมเป็นทำเลทองแห่งใหม่ เกิดซัปพลายบิ๊กโปรเจ็กต์หลายโครงการ ไม่ต่างจากถนนออร์ชาร์ดของสิงคโปร์

ด้านหนึ่ง จัสท์โคกำลังเร่งเครื่องรุกตลาดอย่างหนัก อีกด้านหนึ่งบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ร่วมลงทุนเร่งสร้างภาพลักษณ์และปลุกปั้นโครงการที่อยู่อาศัยที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการสร้างโคเวิร์กกิ้งสเปซเป็นจุดขายฉีกคู่แข่ง

เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มแสนสิริยังเปิดตัวคอนเซ็ปต์ของไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม XT Condominium เพื่อเจาะลูกค้าอายุ 20-35 ปี และกลุ่มคนทำงานในเมืองรุ่นใหม่ โดยดึง นพปฎล พหลโยธิน หรือคุณอู้ นักออกแบบสัญชาติไทย ที่มีผลงานระดับโลก ทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรป ทั้งโครงการที่พักอาศัย ร้านอาหาร เฟอร์นิเจอร์ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เข้ามารับตำแหน่งประธานบริหารฝ่ายสร้างสรรค์

โครงการ XT ประเดิมเปิดตัวพร้อมกัน 3 ทำเล คือ เอกมัย ห้วยขวาง และพญาไท ซึ่งแสนสิริระบุว่า ต้องการสร้างความเชื่อมโยงทั้ง 3 โครงการ รวมถึงโครงการในอนาคต ในลักษณะ Central Millennial District (CMD) ที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงานของคนรุ่นมิลเลนเนียล อยู่ใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าทุกโครงการและจุดเด่นเรื่องการใช้ชีวิตแบบ Co-Sharing ทำให้โครงการ XT มีการวาง Co-Sharing Spaces ที่หลากหลายและลูกบ้านสามารถเข้ามาใช้บริการในทุกโครงการ เช่น XT เอกมัย สร้างพื้นที่ Co Work/Play Space ให้ปรับเปลี่ยนเพื่อการเล่นและการทำงาน สามารถเปลี่ยนโต๊ะทำงานเป็นโต๊ะพูล หรือโต๊ะปิงปอง

XT ห้วยขวางเป็นรูปแบบ Creative Studio แหล่งสร้างสรรค์งานศิลปะ Creative Studio ประกอบด้วย Arts & crafts Studio สตูดิโองานศิลปะสำหรับทำกิจกรรม DIY, Cooking Studio พื้นที่ในการทำอาหารหรือทำเบเกอรี่สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ หรือเปิดคลาสสอนทำอาหารสนุกๆ และ Photo Studio สตูดิโอถ่ายภาพนิ่งพร้อมอุปกรณ์ สามารถถ่ายภาพสินค้าต่อยอดธุรกิจ

ยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า กระแสการเติบโตของที่ทำงานแนวคิดใหม่ทำให้เจ้าของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เริ่มสนใจแนวคิดการปรับพื้นที่บางส่วนเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซ ต่างจากเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ที่ไม่มีเจ้าของอาคารสำนักงานสนใจแนวคิดนี้เลย แต่การบริหารจัดการต้องอาศัยความเชี่ยวชาญที่ต่างจากการให้เช่าพื้นที่สำนักงานรูปแบบเดิม ทำให้เจ้าของอาคารส่วนใหญ่จะหาผู้ประกอบการโคเวิร์กกิ้งสเปซเข้ามาเป็นหุ้นส่วนมากกว่าที่จะเป็นผู้ดำเนินการเอง

กรณีโคเวิร์กกิ้งสเปซแบรนด์ “โกลว์ฟิช (Glow Fish) ของนักธุรกิจหนุ่ม กวิน ว่องกุศลกิจ น่าจะสะท้อนภาพได้ชัดเจน ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซในไทยเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เริ่มจากการเปิดบริการ “เซอร์วิสออฟฟิศ” ในโครงการอโศกทาวเวอร์ โดยใช้จุดขายสำคัญ คือการใช้พื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างสภาพแวดล้อมดึงดูดให้คนมาทำงาน แชร์สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการร่วมกัน เช่น อินเทอร์เน็ต บริการเลขา บริการทำความสะอาด และการซ่อมแซมต่างๆ

ปี 2556 กวินทุ่มทุนเปิด “Glowfish Co-Working Space” อย่างเป็นทางการในตึกอโศกทาวเวอร์ พื้นที่รวม 1,500 ตร.ม. เนรมิตพื้นที่ทำงานในบรรยากาศสไตล์ใหม่ สร้างคอมมูนิตี้คนทำงานที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียต่อยอดธุรกิจ เปิดอีเวนต์สเปซ ส่งเสริมให้ลูกค้าจัดอีเวนต์แนะนำธุรกิจ โดยวางคอนเซ็ปต์การบริการแบบเดียวกับโรงแรมระดับ 4-5 ดาว

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจที่มาพร้อมๆ กับการแข่งขันของแบรนด์ต่างชาติ กวินตัดสินใจยกเครื่องธุรกิจครั้งใหญ่ ปิดโกลว์ฟิชสาขาสยามสแควร์ ปรับโกลว์ฟิชสาขาอโศกทาวเวอร์ ซึ่งเป็นสาขาแรกและเปิดมานานกว่า 9 ปี รวมทั้งลงทุนอีก 600 ล้านบาท เปิดโกลว์ฟิชสาขาใหม่ย่านสาทรรูปแบบใหม่ “ไลฟ์สไตล์เวิร์กสเปซ” ซึ่งรวมบริการเซอร์วิสออฟฟิศ และธุรกิจไลฟ์สไตล์รีเทลเข้าไว้ด้วยกัน เนื้อที่รวม 4,000 ตร.ม.

จุดเด่นอยู่ที่บริการอีเวนต์สเปซขนาดใหญ่ พื้นที่ 400 ตร.ม. ดีไซน์ระบบแสงและเสียงระดับไฮเอนด์ มีมีตติ้งสเปซหลากสไตล์ มีโซนสันทนาการ Work-Life Balance ทั้งฟิตเนสระดับโลก Physique 57 และ Base สำหรับคนชอบออกกำลังกาย และโซนไดนิ่งสเปซขนาดใหญ่

นอกจากนี้ เน้นการจัดอีเวนต์ต่างๆ ตลอดเวลา เช่น การจัดงาน Fish day ทุกเดือน เป็นกิจกรรมปาร์ตี้เล็กๆ สำหรับลูกค้าเพื่อให้สมาชิกทุกคนรู้จักกัน และในวันที่ 30 พ.ย. เตรียมจัดงาน Office Syndrome After Work Therapy เริ่มตั้งแต่หลังเลิกงาน 5 โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน เพื่อให้ชาวออฟฟิศได้มาผ่อนคลายเครียด สนุกกับบูธเกม ดนตรี อาหารและเครื่องดื่ม โดยเชิญทั้งทีมงานโกลว์ฟิช ลูกค้า และชาวออฟฟิศย่านถนนสาทร

ล่าสุด โกลว์ฟิชมีลูกค้ากลุ่มเซอร์วิสออฟฟิศ 61 บริษัท แบ่งเป็นสาขาอโศก 36 บริษัท และสาทร 25 บริษัท ซึ่งกวินยังวางแผนขยายคอมมูนิตี้เพิ่มจำนวนและขนาดโต๊ะ เพิ่มแพ็กเกจเช่าห้องประชุมรวมบริการ Catering รองรับการจัดงานหลากหลายรูปแบบ โดยเตรียมเปิดตัวแพ็กเกจ Office Party รองรับบริษัทหลากหลายขนาดในเร็วๆ นี้ด้วย

ดังนั้น หากดูข้อมูลจาก JLL ที่ระบุว่า ธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการขยายตัวของเซอร์วิสออฟฟิศและโคเวิร์กกิ้งสเปซรวดเร็วที่สุดในโลก อัตราเติบโตสูงถึง 35.7% เทียบกับอเมริกาและยุโรปที่ขยายตัว 25.7% และ 21.6%

JLL ยังฟันธงภายในปี 2573 โคเวิร์กกิ้งสเปซจะมีสัดส่วนสูงถึง 30% ของพื้นที่สำนักงานทั่วโลก เป็นแม็กเน็ตใหม่ที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่มีไม่ได้แล้ว

ใส่ความเห็น