วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 31, 2024
Home > Cover Story > สายเกาต้องมัลตี้ เมื่อเครื่องสำอางเกาหลี ครองใจสาวไทย

สายเกาต้องมัลตี้ เมื่อเครื่องสำอางเกาหลี ครองใจสาวไทย

หากพูดถึงร้านขายเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์ เชื่อว่าสาวๆ ต้องมีชื่อร้านต่างๆ อยู่ในใจกันอย่างแน่นอน ทั้งร้านเครื่องสำอางระดับโลกสัญชาติฝรั่งเศสอย่างSEPHORA” หรือร้านสัญชาติไทยอย่าง EVEANDBOY และ BEAUTRIUM ที่กำลังเดินเกมรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังครองใจสาวไทย ซึ่งนั่นรวมถึงMulty Beauty” อีกหนึ่งบิวตี้สโตร์สัญชาติไทยที่มีคาแรกเตอร์เด่นชัด

“ร้านมัลตี้ เริ่มมาจากการตามล่าหาคุชชั่น ซึ่งแต่ก่อนมีแต่รองพื้น แล้วเกาหลีเขาก็ออกคุชชั่นมาเป็นเจ้าแรกๆ เขาบอกกันว่าคุชชั่นใช้ง่ายกว่ารองพื้น เกลี่ยง่าย ไม่ตกร่อง เราก็อยากลองใช้ แต่หาซื้อไม่ได้เลย ตอนนั้นแบรนด์เกาหลีที่เข้าไทยมีแค่ Etude กับ Skinfood และถ้าพรีออเดอร์มันราคาพันกว่าบาทสองพัน สำหรับมนุษย์เงินเดือนมันก็กระทบเหมือนกัน เลยคิดว่าถ้าทำเองเลยมันจะเป็นยังไง มันน่าจะมีคนที่ตามหาสินค้าเหมือนกับเรา เลยออกจากงานประจำและมาเปิดร้านเอง” ไพลิน อึ๊งพลาชัย ผู้ก่อตั้ง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลตี้ บิวตี้ จำกัด เล่าให้ “ผู้จัดการ 360 องศา” ฟังถึงที่มาของร้านมัลตี้ บิวตี้

ไพลิน หรือ คุณพลอย เล่าต่อว่า ในช่วงเวลานั้นซีรีส์เกาหลีและเคป๊อปเริ่มเป็นที่นิยมในเมืองไทยแล้ว และทำให้สินค้าเกาหลีต่างๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้น จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นเภสัชกรและมาเปิดร้านเครื่องสำอางในชื่อ “Multy Beauty” (ร้านมัลตี้ บิวตี้) เมื่อ 7 ปีที่แล้ว บนทำเลสยามสแควร์ ย่าน Trend Setter ของวัยรุ่นไทย

“จริงๆ แล้วเครื่องสำอางเกาหลีมีผู้จัดจำหน่ายในไทย เราก็ไปเริ่มจากตรงนั้น คัดแบรนด์โดยคิดว่าถ้าเป็นตัวเอง เราจะใช้แบรนด์ไหน เลือกแบรนด์ที่ดีที่ชอบเอามาขาย เปิดร้านเอง ขายเอง แนะนำลูกค้าเอง”

โดยมัลตี้ บิวตี้ ร้านแรกตั้งอยู่บริเวณใต้โรงภาพยนตร์ลิโด้ เป็นร้านเล็กๆ ที่มีขนาดเพียง 10-12 ตารางเมตร หรือที่คุณพลอยเรียกว่า “ร้านตู้ปลา” แต่ถึงกระนั้นสินค้าชนิดแรกที่นำมาขายก็ยังไม่ใช่คุชชั่น (Cushion)  แต่เป็นลิปสติกจาก Peripera (เพอริเพอร่า) แบรนด์ดังจากเกาหลี เพราะตอนนั้นคุชชั่นยังมีแบรนด์ทำออกมาไม่เยอะ กว่าจะได้คุชชั่นมาขายในร้านก็ต้องกินเวลาไประยะหนึ่งเลยทีเดียว เพราะต้องติดต่อผู้จัดจำหน่ายให้ไปเจรจากับแบรนด์ที่เกาหลีเพื่อให้นำเข้ามา

มัลตี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ผลตอบรับกลับไม่เล็กเลยทีเดียว เพราะสามารถแก้เพนพอยต์ของสาวๆ ที่ต้องการเครื่องสำอางเกาหลีแต่หาซื้อยากได้ นั่นทำให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนมัลตี้สามารถขยายสาขาจากลิโด้ไปสู่สยามสแควร์ซอย 2 และซอย 5 ตามลำดับ ด้วยจำนวนพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมๆ กับโพสิชันนิ่งของมัลตี้ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในฐานะบิวตี้สโตร์ที่เป็นศูนย์รวมเครื่องสำอางจากเกาหลีเบอร์ต้นๆ ของไทย จนติดแฮชแท็ก “#สายเกาต้องมัลตี้”

“เหตุที่ลูกค้าชอบเครื่องสำอางเกาหลีเพราะใช้ดี ราคาจับต้องได้ อีกทั้งซีรีส์เกาหลีและเคป๊อปก็มีส่วนในการเติบโตเป็นอย่างมาก ถ้ามี Tie-in หรือหยิบสินค้าอะไรขึ้นมาสักอย่าง น้องๆ ก็จะมาตามหาสิ่งนั้นกันเยอะมาก บางทีเรายังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ”

“ถ้าเทียบกับร้านค้าปลีกความงามร้านอื่นๆ เขาอาจเป็นมัลติแบรนด์ของเครื่องสำอาง แต่พลอยพยายามทำให้มัลตี้แตกต่างจากร้านอื่น เวลาลูกค้าเข้าร้านอื่นแล้วก็ยังสามารถเข้าร้านเราได้ด้วย เลยเป็นที่มาที่มัลตี้โดดเด่นเรื่องความเป็นเกาหลี และเป็น special multi brand ถ้าคิดถึงสินค้าความงามของเกาหลีต้องที่มัลตี้ ตามสโลแกนสายเกาต้องมัลตี้เลยค่ะ”

คุณพลอยเสริมว่าเทรนด์เกาหลีมีมาเรื่อยๆ และตอนนี้ก็ยังคงเป็นเทรนด์เกาหลีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเครื่องสำอาง และมองว่า K Beauty ยังคงเป็น Top Rank ในกลุ่มเครื่องสำอาง อีกทั้งตัวผลิตภัณฑ์เองก็มีการพัฒนาทั้งเนื้อสัมผัส คุณสมบัติ และส่วนประกอบไปไกลมาก ทั้งลิปสติกบวกกันแดด คุชชั่นบวกกันแดด เรียกว่าพัฒนากันไปถึงขั้นสุด โดยเทรนด์ต่อจากนี้จะเน้นไปทางให้ข้อมูลกับลูกค้าในเรื่องการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ทั้งเรื่องของศาสตร์แห่งสี (Personal Color) การเลือกสีลิปสติกตามสีเลือด การเลือกเครื่องสำอางตามโทนสีผิว รวมถึงลำดับในการใช้สกินแคร์ เป็นต้น

ปัจจุบันร้านมัลตี้ บิวตี้ มีทั้งหมด 8 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์ ซอย 5, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, เมกาบางนา, แฟชั่นไอส์แลนด์, ยูเนี่ยนมอลล์, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เดอะมอลล์ บางแค และสาขาน้องใหม่ สยามสแควร์ แฟล็กชิปสโตร์ ที่มีพื้นที่กว่า 500 ตารางเมตร

โดยมีแบรนด์เครื่องสำอางเกาหลีวางจำหน่ายมากกว่า 200 แบรนด์ มีช่องทางจำหน่ายทั้งทางหน้าร้านและออนไลน์ สัดส่วนยอดขายหน้าร้านและออนไลน์อยู่ที่ 70:30  ในส่วนของรายได้หลักๆ มาจากกลุ่มเครื่องสำอาง 50% กลุ่มสกินแคร์อยู่ที่ 30-40% ที่เหลือมาจากกลุ่ม Personal care น้ำหอม และอุปกรณ์ต่างๆ ที่สำคัญรายได้ส่วนใหญ่ของร้านยังมาจากแบรนด์เกาหลีโดยเฉพาะที่เป็นเครื่องสำอางมากถึง 70%

ส่วน Top 3 ของสินค้าที่ลูกค้าเลือกซื้อเยอะที่สุดในกลุ่มเครื่องสำอางได้แก่ ลิปสติก, คุชชั่น และอายแชโดว์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มสกินแคร์ ยืนหนึ่งคือโทนเนอร์ ตามด้วยซันแคร์ และเซรั่ม ตามลำดับ

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลักอยู่ในช่วงอายุ 18-24 ปี โดยเน้นการทำการตลาดออนไลน์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย แต่ปัจจุบันคุณพลอยพยายามขยายฐานลูกค้าให้ขึ้นไปจนถึงอายุ 35 ปี ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์

ที่ผ่านมามัลตี้มีการเติบโตเท่าตัวมาอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยเฉพาะยอดขายทางช่องทางออนไลน์ที่เติบโตถึง 180% ต่อปี ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากทั้งเทรนด์เกาหลีและการทำการตลาด ซึ่ง ณ ปัจจุบันมียอดชอปต่อบิลอยู่ที่ 600-700 บาท แต่คุณพลอยตั้งใจดันไปถึง 750-800 บาทในอนาคต

ล่าสุดมัลตี้เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดอีกครั้ง เปิดตัวแบรนด์ rom&nd (โรแมน) แบรนด์เครื่องสำอางอันดับต้นๆ ของเกาหลี ซึ่งเป็น Exclusive Brand ที่มัลตี้นำเข้ามาจำหน่ายแบบครบทุก SKU ทั้งเบสเมคอัพ อายเมคอัพ อายบราว ลิปเมคอัพ และสินค้าตัวดังอย่าง ลิปทินต์รุ่น Juicy Lasting Tint ที่ให้สีปากฉ่ำวาวระเรื่อดูแพง โดยมีให้เลือกมากถึง 40 สี ตามเฉดสีที่เหมาะกับผิว

“แบรนด์โรแมนเขาเป็นเทรนด์เซตเตอร์ของเกาหลี และเป็น Top of Mind สำหรับเมคอัพเกาหลีของผู้บริโภคชาวไทย มัลตี้ทำงานร่วมกับโรแมนมา 5 ปีแล้ว ค่อยๆ เอามาทำการตลาดและสร้างฐานลูกค้าในเมืองไทย จนปัจจุบันถ้าไปถามน้องๆ วัยรุ่นเมืองไทย เชื่อแน่ว่า โรแมนน่าจะอยู่ใน Top 3 ของเครื่องสำอางเกาหลีในใจน้องๆ มัลตี้อาจไม่ใช่รายเดียวที่นำเข้า แต่เรามีของครบที่สุด และมีวางจำหน่ายในร้านมัลตี้ทุกสาขา”

โดยเป้าหมายของการร่วมมือกันครั้งนี้เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าจากเมืองไทย ดึงดูดลูกค้าที่เป็นโรแมนเลิฟเวอร์ หรือโคเรียนเลิฟเวอร์ให้มากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ มัลตี้ยังมีแผนนำแบรนด์เกาหลีอื่นๆ เข้ามาทำการตลาดเพิ่มเติมอีกหลายสิบแบรนด์

สำหรับแผนธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า คุณพลอยมีแผนสร้างการเติบโตทางออนไลน์แบบเท่าตัว ส่วนการเติบโตของยอดขายหน้าร้านตั้งเป้าโต 100% อีกทั้งยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แม้ยอดขายทางออนไลน์จะสร้างการเติบโตอย่างน่าประทับใจก็ตาม เพราะเธอมองว่าหน้าร้านยังคงเป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจนี้ เพราะเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าในการมาลองผลิตภัณฑ์ โดยภายในปี 2567 ตั้งเป้าเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา เพื่อให้ครบ 11 สาขา ด้วยงบลงทุนกว่า 60 ล้านบาท แต่ยังคงปักหลักทำเลในกรุงเทพฯ เช่นเดิม

ที่น่าสนใจคือ อีกไม่เกิน 1-2 ปีนับจากนี้ มัลตี้มีแผนขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดเพิ่มเติม โดยในระยะแรกจะเน้นทำเลรอบๆ กรุงเทพฯ เป็นหลัก นอกจากนั้น คุณพลอยยังเผยอีกว่า การพามัลตี้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์คือแผนในอนาคต และเป็นสิ่งที่เธออยากทำให้ได้.