Home > Darunee Sae-Liew (Page 8)

กินให้ดีหลีกหนีภัยร้ายได้สารพัด

Column: Well – Being เราได้ผ่านพ้นช่วงเวลาการเฉลิมฉลองหลากหลายเทศกาลมาระยะหนึ่งแล้ว และก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาของการตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้เต็มที่เพื่อชีวิตที่ดีที่รออยู่ข้างหน้า เมื่อทุ่มเททำงานวุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความเครียดก็มาเยือนเป็นเรื่องปกติ นิตยสาร GoodHealth ตั้งข้อสังเกตว่า ระดับความเครียดกับโภชนาการที่เลว มักเชื่อมโยงกัน และเมื่อคุณมีงานล้นมือ สมองที่จะคิดเรื่องการกินอาหารดีๆ เพื่อสุขภาพคงต้องหลีกทางไปอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อของความเครียดจากการทำงาน ให้วางแผนการกินล่วงหน้าคงจะช่วยได้ เน้นถั่วเปลือกแข็ง “หนึ่งในสิ่งสำคัญๆ ที่ต้องตระหนักคือ การกินอาหารผิดประเภทสามารถกระตุ้นความเครียดและความกระวนกระวายได้” นักกำหนดอาหาร คาสซานดรา บาร์นส์ อธิบาย “เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียด มันทำให้รู้สึกอยากอาหารรสหวาน เช่น ช็อกโกแลต หรือมันฝรั่งทอด และเครื่องดื่มกาเฟอีน ให้หันกลับมาหาอาหารว่างที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ถั่วเปลือกแข็งอย่าง อัลมอนด์ บราซิลนัต เฮเซลนัต แมคคาเดเมียนัต กรีกโยเกิร์ต อะโวคาโด และทูน่า เพราะอาหารว่างเหล่านี้อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันดีที่ช่วยลดอาการอยากของหวานของคุณได้” ถ้าคุณรู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันที่คุณมีธุระยุ่งทั้งวัน ให้เตรียมตัวจัดอาหารว่างล่วงหน้า ด้วยการจัดผักที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำใส่กล่อง ชีส และผลไม้สักหนึ่งชิ้น หรือผลไม้ปั่นสักหนึ่งแก้วติดตัวไปด้วย หลีกเลี่ยงกาเฟอีนปริมาณสูง ถ้าระหว่างวัน คุณรู้สึกว่าระดับพลังงานลดฮวบลง คุณอาจรู้สึกเหมือนอยากดื่มกาเฟอีนเพื่อเพิ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่มกาเฟอีนปริมาณสูงสามารถทำให้ความดันโลหิตของคุณสูงขึ้นระยะสั้นได้ และคุณจะรู้สึกห่อเหี่ยวอีกครั้งเมื่อกาเฟอีนในร่างกายลดลง ชาเขียวเป็นทางเลือกที่วิเศษมาก “เพราะมันมีกาเฟอีนระดับหนึ่ง

Read More

ยิ้มรับยารักษาฟันผุ & โครงการ Go for Gold

Column: Well – Being เพราะวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้การค้นพบใหม่ๆ ในโลกของความเป็นอยู่ที่ดีและการแพทย์เกิดขึ้นมากมาย และถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนยากที่จะรู้ได้ว่า การค้นพบอย่างทะลุทะลวงเหล่านี้จะทำให้มีความหวังขึ้นมาใหม่หรือไม่ นิตยสาร GoodHealth รายงานว่า นักวิจัยจากคิงส์ คอลเลจ ในกรุงลอนดอน ค้นพบวิทยาการที่อาจเรียกได้ว่า เป็นวิธีรักษาฟันผุแบบใหม่ก็เป็นได้ พวกเขาพบว่ายา Tideglusib (ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทดลองใช้กับคนไข้อัลไซเมอร์ในความพยายามกระตุ้นให้เซลล์สมองงอกใหม่) ช่วยกระตุ้นสเต็มเซลล์ในเนื้อเยื่อของฟันได้ จึงเป็นตัวสร้างเนื้อฟันขึ้นมาใหม่ นักวิจัยนำฟองน้ำที่ย่อยสลายได้ไปชุบตัวยา Tideglusib แล้วอุดลงไปในรูฟันเพื่อกระตุ้นให้สร้างเนื้อฟัน และภายใน 6 สัปดาห์ จะช่วยซ่อมแซมฟันที่ผุเป็นรูได้ การอุดฟันจะถึงจุดจบหรือไม่ “ถ้าตัวยานี้สามารถทำให้การสร้างเนื้อฟันเพิ่มขึ้น ด้วยการกระตุ้นการเติบโตของสเต็มเซลล์ นั่นอาจเป็นทางเลือกแทนการอุดฟันที่ไม่เจ็บปวด มีความเป็นธรรมชาติ และคงอยู่อย่างถาวรได้อย่างแท้จริง” คาเรน โคทส์ ที่ปรึกษาด้านทันตกรรมเพื่อมูลนิธิสุขภาพในช่องปากอธิบาย “ขณะที่การอุดฟันยังคงมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการฟันผุที่เป็นรูขนาดใหญ่ แต่อาจมีปัญหาเรื่องวัสดุอุดเสื่อมและแตกออกได้ ทำให้ต้องซ่อมแซมและอุดใหม่ ทันตแพทย์มักกรอวัสดุอุดฟันออกก่อนแล้วอุดใหม่ โดยรูฟันจะใหญ่ขึ้นในทุกครั้ง จนกระทั่งท้ายที่สุด อาจต้องครอบฟันหรือถึงขั้นถอนทิ้งก็เป็นได้” “การคิดค้นวิธีที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เพื่อให้ฟันได้ซ่อมแซมตัวของมันเอง ไม่เพียงกำจัดปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้น แต่ยังเป็นทางเลือกในการรักษาที่เยี่ยมมากสำหรับคนไข้ที่กลัวการทำฟัน” “อย่างไรก็ตาม การวิจัยยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น และต้องมีการทดลองทางคลินิกอย่างเข้มงวดมากขึ้น ก่อนที่เราจะสามารถวัดประสิทธิภาพของการรักษาอาการฟันผุได้เต็มที่ ที่สำคัญคือ ต้องตั้งข้อสังเกตด้วยว่าการวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นทำกับหนู เมื่อการทดลองกับหนูทำให้เกิดความเข้าใจว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาตัวใหม่ จะให้หลักประกันความสำเร็จในการรักษามนุษย์ได้นั้น ไม่จริงแต่อย่างใด” “มันเป็นวิธีที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นมาก ซึ่งอาจเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของการรักษาฟันผุ” โคทส์ยังเพิ่มเติมด้วยว่า

Read More

รอใช้ใบเตยรักษาเบาหวาน

Column: Well – Being บางครั้งใบเตยถูกขนานนามว่า “วานิลลาแห่งโลกตะวันออก” เพราะกลิ่นอันหอมหวานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน และอยู่คู่ครัวของอินเดีย มาเลเซีย เวียดนาม ศรีลังกา และไทย มานานหลายร้อยปีแล้ว นิตยสาร GoodHealth รายงานความคืบหน้าว่า เมื่อไม่นานมานี้ใบเตยได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไนเจลลา ลอว์สัน ถึงกับตั้งฉายาให้ใบเตยว่าเป็น “มัทชะรูปแบบใหม่” ตอนนี้มัทชะซึ่งเป็นชาเขียวที่แทบจะไม่เคยมีใครรู้จัก ได้กลายเป็นส่วนประกอบยอดนิยมที่พบในเค้ก ชา สมูทตี้ และไอศกรีมในทั่วโลก ได้ไฟเขียว ดูเหมือนว่าใบเตยเริ่มเดินตามรอยเท้าของมัทชะมาติดๆ แล้ว เตยมีประมาณ 750 สายพันธุ์ มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายต้นปาล์ม โดยใบที่แตกช่อออกมาเป็นรูปคล้ายพัดนั้น มีลักษณะยาว แคบเป็นรูปใบมีด เตยพบได้ทั่วไปในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เช่น อินเดีย เมียนมา เวียดนาม และไทย แต่บางสายพันธุ์ก็พบได้ในเขตนอร์ทเทิร์นเทอร์ริทอรีของออสเตรเลีย เตยเป็นแหล่งอาหารและยาที่สำคัญของชนพื้นเมืองออสเตรเลียมานานหลายชั่วคน เตยยังถูกนำมาวิจัยและเป็นที่ยอมรับในทั่วโลกถึงศักยภาพทางยาและสรรพคุณในการเยียวยาของมัน ต้นเตยและใบเตยมีสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครอบคลุม ที่อินเดียมีการนำใบเตยมาแช่ในน้ำมันมะพร้าว และนำน้ำมันนั้นมาถูตามร่างกาย เพื่อบรรเทาอาการปวดจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า แพทย์วิถีธรรมชาติใช้วิธีเคี้ยวใบเตยเป็นทางเลือกแทนการไปหาหมอฟัน และช่วยรักษาให้ช่องปากมีสุขภาพดี รวมทั้งการนำใบเตยสดมาแช่ในน้ำเย็นสำหรับอาบ เพื่อรักษาอาการแดดเผาจนผิวไหม้เกรียมได้ นักวิจัยมหาวิทยาลัยมาเลเซียยังยกย่องเตย ว่ามีศักยภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับโรคต่างๆ เพราะในใบเตยมีสารโพลีฟีนอลที่ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคร้ายต่างๆ เช่น

Read More

อาบน้ำเย็นเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ชะงัด

Column: Well – Being ในกลุ่มประเทศนอร์ดิกหลายประเทศ ดูจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เห็นเด็กทารกอายุเพียง 2 สัปดาห์ ถูกปล่อยให้อยู่ในที่โล่งแจ้งโดยนอนอุตุอยู่ในรถเข็น ส่วนที่รัสเซีย ประชาชนนับพันสนุกสนานกับการกระโดดลงน้ำเย็นจัดทุกสัปดาห์ในระหว่างฤดูหนาวที่กินเวลานานหลายเดือน ทั้งที่อยู่ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบต่ำกว่าศูนย์องศาก็ตาม ขณะที่เราอาจส่ายศีรษะไม่เอาด้วยกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมเหล่านี้ นิตยสาร GoodHealth รายงานว่า ดูเหมือนว่าการทำให้ตัวเองได้สัมผัสความหนาวเย็นจะเป็นประโยชน์ได้ และอาจช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณดีขึ้นก็ได้ ผลวิจัยบอกอะไรบ้าง ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากมายได้แสดงว่า การสัมผัสน้ำเย็นซ้ำ ๆ กันสามารถช่วยให้คุณมีระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นได้ การวิจัยที่สถาบันวิจัยธรอมโบซิสในอังกฤษพบว่า ผู้ที่อาบน้ำเย็นเป็นประจำทุกวัน ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่อาบน้ำอุ่น ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวนี้เป็นกลไกต่อสู้กับเชื้อไวรัสให้แก่ร่างกายของเรานี่เอง จากการศึกษาที่คล้ายคลึงกัน กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสาธารณรัฐเช็กพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ลงแช่น้ำเย็นสัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นเวลา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน จะเห็นว่ามีลิมโฟไซต์รวมทั้งเซลล์ที่เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ในปริมาณเพิ่มขึ้น ว่ายน้ำฤดูหนาวดีกับคุณ ถ้าลองคุยกับนักว่ายน้ำฤดูหนาว คุณอาจได้คำตอบว่าพวกเขาแทบไม่เคยเป็นหวัดและไข้หวัดใหญ่เลย ซึ่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กำลังพิสูจน์ว่า คำกล่าวอ้างของพวกเขาเป็นจริงหรือไม่ ผลการศึกษาของฟินแลนด์ระบุว่า นักว่ายน้ำฤดูหนาวมีเซลล์เม็ดเลือดขาวปริมาณมากกว่านักว่ายน้ำที่ไม่ว่ายน้ำในฤดูหนาว การศึกษาคล้ายคลึงกันก็ยืนยันถึงความเกี่ยวพันระหว่างการว่ายน้ำในฤดูหนาวกับการลดปัญหาติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ถึงร้อยละ 40 ความเย็นช่วยระบบภูมิคุ้มกันอย่างไร อธิบายง่ายๆ คือ การลงแช่น้ำเย็นทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายสูงขึ้นทั้งในช่วงระหว่างและหลังการแช่น้ำ การที่อัตราการเผาผลาญสูงขึ้นนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้วย ส่งผลให้มีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็น “กองทหาร” ของร่างกายที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียนี่เอง อีกหนึ่งในการตอบสนองทางสรีรศาสตร์ที่น่าพอใจที่สุดที่มีต่อการสัมผัสความเย็นคือ การที่ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ norepinephrine ปริมาณมากออกมา ผลการศึกษาระบุว่า การได้รับความเครียดจากความเย็น สามารถทำให้ระดับของ

Read More

ความหวังใหม่ … ความจำเสื่อมฟื้นฟูได้

Column: Well – Being ถ้าคุณได้พบเห็นคนที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ คุณจะรู้ว่ามันเป็นโรคที่ไม่ทำให้สภาพภายนอกของผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงหรือทรุดโทรม หากแต่ได้ปล้นเอาความทรงจำและตัวตนของพวกเขาไปจนหมดสิ้น เป็นโรคที่ไม่เพียงทำให้ผู้ป่วยปวดหัวใจและเจ็บปวดในช่วงเริ่มแรก หากรวมถึงครอบครัวของพวกเขาผู้ซึ่งทำได้เพียงแค่เฝ้าดูผู้ป่วยซึ่งเป็นคนที่พวกเขารักและรู้จัก ค่อยๆ กลายสภาพเป็นเพียงโครงร่างของคนคนนั้นโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย จวบจนปัจจุบัน วงการแพทย์ยังไม่สามารถค้นพบยาหรือวิธีรักษาเพื่อฟื้นความจำที่เสื่อมถอยอันเกี่ยวเนื่องกับโรคอัลไซเมอร์ได้ อย่างไรก็ตาม นิตยสาร GoodHealth รายงานว่า ขณะนี้เริ่มมีความหวังใหม่ๆ ที่ช่วยฟื้นอาการความจำเสื่อมได้ อัลไซเมอร์คืออะไร ถ้าคุณมองเข้าไปในสมองของคนที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ คุณจะเห็นคราบโปรตีนที่เรียกว่า อะไมลอยด์ จับตัวจนหนาเกาะอยู่ตรงที่ว่างระหว่างเซลล์สมอง เซลล์สมองสามารถสื่อสารกันได้ผ่านที่ว่างเหล่านี้ แต่เมื่อโปรตีนอะไมลอยด์เข้าไปขัดขวาง ทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการสื่อสารกันน้อยลงหรือไม่สามารถสื่อสารกันได้ เซลล์สมองจะค่อยๆ สูญเสียการทำหน้าที่ ซึ่งเป็นผลให้เกิดการสูญเสียความทรงจำและเกิดความสับสนขึ้นแทน ภาวะที่เซลล์สมองถูกล็อกเอาไว้ และไม่สามารถสื่อสารกับเซลล์สมองอื่นๆ ได้นั้น สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเซลล์สมองถูกโจมตีโดยโปรตีนอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า เทา (tau) ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยและมีบทบาทสำคัญในการทำลายเซลล์สมอง ความหวังใหม่จากวิธีอัลตราซาวด์ การวิจัยของศาสตราจารย์เจอร์เกน กอตซ์ และ ดร.รีเบคกา นิสเบท แห่งสถาบันสมองควีนส์แลนด์ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ในการรักษาให้อาการอัลไซเมอร์ดีขึ้น และฟื้นฟูความทรงจำให้กลับมา หัวใจหลักของการวิจัยของพวกเขาคือ ถ้าสามารถส่งตัวยาหรือสารภูมิต้านทานเข้าไปที่คราบอะไมลอยด์ได้โดยตรง และทำให้โปรตีนเทาด้อยประสิทธิภาพลง จะสามารถทำให้ความทรงจำฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม การทำอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสมองถูกปกป้องด้วยแนวกั้นระหว่างเลือดและสมอง (blood brain barrier

Read More

เกร็ดดีๆ รับปีใหม่

Column: Well – Being คงไม่สายเกินไปที่จะรับปีใหม่ด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอันหลากหลายที่น่ารู้สำหรับดูแลสุขภาพของคุณ ซึ่งนำเสนอโดย นิตยสาร GoodHealth ดังนี้ นอนไม่หลับ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ - ก่อนเวลานอน 1 ชั่วโมง ให้งดเว้นการจ้องหรือดูอุปกรณ์ทุกชนิดที่มีหน้าจอ - บริโภคอาหารที่อุดมด้วยทริปโตแฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเซโรโทนินที่ทำให้คุณหลับง่ายขึ้น อาหารดังกล่าวได้แก่ ไก่งวง ปลาแซลมอน และกล้วย - สร้างกิจวัตรเพื่อเตือนให้ร่างกายรู้ตัว เช่น อ่านหนังสือ เดินรอบบ้าน ปิดไฟ และล็อกประตู หรืออาบน้ำอุ่น กุญแจสำคัญคือ ทำกิจกรรมเหมือนกันในทุกๆ คืน เพื่อ ส่งสัญญาณไปยังสมองว่าใกล้เวลาเข้านอนแล้ว - สูดดมน้ำมันหอมระเหย เช่น ลาเวนเดอร์ หรือกระดังงา ที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย - หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในเวลากลางคืน - การดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้คุณน็อกและหลับไปก็จริง แต่เป็นการนอนที่ไม่มีคุณภาพ คุณจะไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง - ถ้าคุณตกใจตื่นขึ้นกลางดึก อย่านอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง ให้หาอะไรทำ หากิจกรรมง่ายๆ ทำสัก 10 นาที อาจทำให้คุณเริ่มง่วงและเข้าสู่ระบบการนอนได้อีก อาหารมีส่วนทำให้นอนไม่หลับ ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal

Read More

ผมบาง & ผมร่วง … เชิญอ่าน

Column: Well – Being หนังศีรษะของคุณมีปุ่มรากผมราว 100,000 ปุ่ม และทุก 3 ปี ปุ่มรากผมแต่ละปุ่มต้องมีวงจรของการงอกของเส้นผม ที่มีทั้งระยะพักและผมหลุดร่วงไป จากนั้นตามด้วยการงอกใหม่ของเส้นผม นิตยสาร GoodHealth กล่าวว่า บางครั้งรูปแบบดังกล่าวนี้ถูกรบกวน และผมไม่งอกใหม่หรือเริ่มบางลง ทำให้ผู้หญิงเผชิญกับปัญหาผมบาง ผมร่วง และศีรษะล้านเป็นหย่อมๆ กว่าครึ่งของผู้หญิงล้วนประสบปัญหาผมร่วงและผมบางเมื่อมีอายุมากขึ้น ส่วนใหญ่แล้วกระบวนการนี้ดำเนินไปโดยไม่ทันสังเกตเห็น แต่ราวร้อยละ 20 ของผู้หญิงที่ประสบปัญหานี้พบว่า อาการผมร่วงเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและเป็นที่น่ากังวลใจ เดวิด ซาลินเจอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมและหนังศีรษะ กล่าวว่า “ประมาณร้อยละ 50 ของผู้หญิงวัย 40 ปีมีปัญหาผมบาง แต่ปัจจุบันผู้หญิงประสบปัญหานี้เร็วขึ้นคืออยู่ในวัยเพียง 20 และ 30 ปีเท่านั้น” เหตุผลที่เป็นสาเหตุอยู่เบื้องหลังอาการผมร่วงและผมบางในผู้หญิงมีหลายประการ ตั้งแต่ปริมาณน้ำตาลที่บริโภคและโรคเบาหวาน ต่อไปนี้เป็นวิธีแก้ปัญหาที่น่าสนใจ ผลจากการบริโภคน้ำตาล “ผมคิดว่าปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในอาหารของเรามีผลอย่างมาก รวมทั้งน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารด้วย” ซาลินเจอร์อธิบาย น้ำตาลเป็นสาเหตุของอาการอักเสบ และนำไปสู่ภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเข้าโจมตีเซลล์ที่ผลิตเส้นผม การบริโภคน้ำตาลเกินความต้องการสามารถนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งผลการศึกษาของฟินแลนด์พบว่า ผู้หญิงที่บริโภคน้ำตาลสูง และอยู่ในภาวะดื้อต่ออินซูลิน มีความเสี่ยงสูงจากปัญหาผมร่วงมากขึ้น “ผู้หญิงที่มีอินซูลินในระดับปกติ จะช่วยให้การเปลี่ยนจากฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนไปสู่ฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้น เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น”

Read More

ความสุขอยู่ที่ไหน

Column: well-being เราทุกคนล้วนเคยผ่านประสบการณ์มองหาความสุข ณ ช่วงหนึ่งของชีวิตกันมาแล้ว และค้นพบจนได้ แต่ก็เพียงเพื่อรู้สึกว่าความสุขนั้นได้หลุดลอยไปอีกครั้ง นักเศรษฐศาสตร์ ริชาร์ด อีสเตอร์ลิน ได้พูดถึงวงจรของยุคใหม่ และค้นพบคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ในการศึกษาที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ นิตยสาร GoodHealth รายงานว่า อีสเตอร์ลินถามชาวอเมริกันถึงทรัพย์สินที่พวกเขาเคยครอบครอง และทรัพย์สินที่พวกเขารู้สึกว่ายังขาดอยู่ และอยากได้เพื่อให้สมความปรารถนาในการมีชีวิตที่ดีตามอุดมคติ เช่น บ้าน รถยนต์ เครื่องรับโทรทัศน์ การท่องเที่ยวต่างประเทศ การมีสระว่ายน้ำ การมีบ้านพักตากอากาศ เป็นต้น อีก 16 ปีต่อมา เขาถามคำถามเดียวกันนี้อีกครั้ง และพบคำตอบที่น่าสนใจ จากการที่คนหนุ่มสาวที่เขาสัมภาษณ์มีรายการทรัพย์สินในครอบครองโดยเฉลี่ย 1.7 รายการ และรู้สึกว่า หากได้ครอบครองทรัพย์สินเพิ่มอีก 4.4 รายการก็จะทำให้พวกเขามีความสุข แต่ในการสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 พวกเขามีทรัพย์สินในครอบครองเพิ่มเป็น 3.1 รายการ และพวกเขาต้องการครอบครองเพิ่มอีก 5.6 รายการ จึงจะมีความสุข ซึ่งผลต่างของสิ่งที่อยากได้ยังมากกว่าทรัพย์สินที่พวกเขาครอบครองในปัจจุบันอยู่อีก 2 รายการอยู่ดี แดเนียล กิลเบิร์ต นักจิตวิทยาสังคมอธิบายว่า “ปัจจุบันความพยายามในการมีความเป็นอยู่ที่ดีของเราถูกครอบงำด้วยการขยายขอบเขตออกไปตามหลักตรรกะ

Read More

กิมจิช่วยลดอาการซึมเศร้า

Column: Well – Being รสชาติของกิมจิที่ทั้งเผ็ดร้อน เค็ม เปรี้ยว และกรอบ เป็นผลจากการหมักพืชตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักกาดขาวกับผักกวางตุ้ง ผสมผสานกับหัวไชเท้า พริกป่นเกาหลี กระเทียม และขิง กิมจิได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของเกาหลี โดยมีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปจนถึงศตวรรษที่ 12 เมื่อชาวเกาหลีพัฒนาระบบการนำผักมาหมักเกลือเพื่อเป็นการถนอมอาหารไว้บริโภคในฤดูหนาว ทุกฤดูใบไม้ร่วง ทุกครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อทำกิมจังซึ่งเป็นประเพณีการเตรียมทำกิมจิร่วมกัน ขณะที่กิมจิที่วางขายอยู่ตามร้านอาหารเพื่อสุขภาพและตู้แช่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น โดยทั่วไปมักทำจากกะหล่ำปลีเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ในเกาหลีเองมีกิมจิแตกต่างกันมากกว่า 100 ชนิด ที่ทำจากส่วนประกอบอันหลากหลายตามสภาพท้องถิ่นของแต่ละภูมิภาคและแต่ละฤดูกาล เช่น ปา–กิมจิ (ทำจากต้นหอม) บริโภคในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนออยโซบากิ (แตงกวา) บริโภคในฤดูร้อน วอมบ็อกในฤดูใบไม้ร่วง และดงชิมิในฤดูหนาว ถือกันว่ากิมจิออร์แกนิกที่มีคุณภาพดีเป็นเครื่องเคียงที่สมบูรณ์แบบสำหรับอาหารทุกมื้อที่มีต้นกำเนิดจากเอเชีย นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่ากิมจิคือคำจำกัดความของอาหารที่กินแล้วสนุกปาก ยังมีอีกเหตุผลสำคัญของการเพิ่มอาหารหมักรสชาติถูกปากนี้เป็นเครื่องเคียงในจานอาหารของคุณ พลังของอาหารดิบ นับจากโบราณกาล วัฒนธรรมดั้งเดิมได้รวมเอาอาหารหมักดองที่มีความดิบและไม่ผ่านความร้อนลงไปในมื้ออาหารของคนโบราณด้วย เพราะอาหารเหล่านี้มีสรรพคุณทางยาที่ให้ผลอย่างชะงัด กระบวนการหมักเป็นการเพิ่มคุณสมบัติทางชีวภาพของสารอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น ดังนั้น อาหารหมักจึงมีสารอาหารเข้มข้นกว่าผักดิบชนิดเดียวกัน นอกจากนี้ กิมจิซึ่งเป็นอาหารหมักตามธรรมชาติและดิบ ยังมีกรดแลคติกและจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ยังมีชีวิต เช่น แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผลการวิจัยระบุว่า การกินอาหารหมักในปริมาณที่มากพอ เป็นหนทางในการช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียชนิดดีในระบบทางเดินอาหารของคุณได้ การมีแบคทีเรียดังกล่าวอยู่ในร่างกายในปริมาณมากพอจึงมีความสำคัญมาก เพราะระบบทางเดินอาหารเป็นแหล่งกำเนิดของระบบภูมิคุ้มกันที่สำคัญที่สุดของร่างกายเรา

Read More

ออกกำลังกายอย่างไม่ตั้งใจกันไหม

Column: Well – Being คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหมที่คิดหาข้ออ้างให้ตัวเองเสมอเวลาคิดถึงความปวดเมื่อย แล้วขี้เกียจออกไปเดินชอปปิ้งเสียเฉยๆ ขอให้คิดเสียใหม่ แล้วนับเอากิจกรรมนี้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการออกกำลังกายอย่างไม่ตั้งใจของคุณ การนับรวมเอากิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวทางกายภาพเข้าไปอยู่ในกิจวัตรประจำวันของคุณด้วยนั้น ไม่ทำให้คุณต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย ยกเว้นการสร้างโอกาสให้ร่างกายได้ใช้พลังงาน ซึ่งแม้มันอาจไม่เหมือนการออกกำลังกายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อนำกิจกรรมเหล่านี้มารวมเข้ากับการออกกำลังกายตามปกติของคุณ ผลที่ได้จะช่วยให้คุณรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ ที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ นิตยสาร GoodHealth จึงนำตัวเลขการเผาผลาญพลังงานที่คำนวณได้จากการออกกำลังกายอย่างไม่ตั้งใจมานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ โดยอยู่บนพื้นฐานของกิจกรรมที่คุณทำเป็นเวลานาน 30 นาที สำหรับคนที่มีน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัมดังนี้ จูงหมาเดิน = 395 กิโลจูลส์ การจูงหมาออกเดินเล่นในลักษณะที่บางครั้งมันอาจหยุดเดินและใช้จมูกดมกลิ่นไปตามประสา ซึ่งให้ความรู้สึกของการผ่อนคลายมากกว่าการออกกำลังกาย โดยเน้นการเดินให้ได้ 30 นาทีนั้น ทำให้ตัวเลขค่าดัชนีมวลกายของคุณดีขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้คุณมีชีวิตทางสังคมที่ดีขึ้น ถ้าคุณกับเจ้าหมาน้อยคู่ใจชอบเร่งฝีเท้าขึ้นถึงระดับวิ่งจ๊อกกิ้งได้จะยิ่งดีทีเดียว โดยตัวเลขเผาผลาญพลังงานจะขยับพุ่งขึ้นเป็น 933 กิโลจูลส์ เดินทางโดยรถสาธารณะ = 263 กิโลจูลส์ ถ้าคุณยอมจอดรถไว้ที่บ้าน แล้วหันมาเดินทางด้วยรถสาธารณะแทน เท่ากับเป็นการออกกำลังกายอย่างไม่ตั้งใจในชีวิตประจำวันเป็นเวลานานโดยเฉลี่ยถึง 35 นาทีเลยทีเดียว ขณะที่การขับรถเผาผลาญพลังงานได้เพียง 8–10 กิโลจูลส์ การต้องวิ่งขึ้นรถเมล์หรือรถไฟเพื่อเดินทางไปทำงานนั้น ทำให้คุณมีแนวโน้มจะมีค่าดัชนีมวลกายลดลง การยืนโหนรถเมล์เพียงอย่างเดียว ช่วยเผาผลาญพลังงานได้ 263 กิโลจูลส์

Read More