วันอาทิตย์, ตุลาคม 6, 2024
Home > Cover Story > ศึกช่วงชิงแบรนด์ มหากาพย์ “เงินติดล้อ”

ศึกช่วงชิงแบรนด์ มหากาพย์ “เงินติดล้อ”

 
ในตลาดสินเชื่อ “รถแลกเงิน” แบรนด์ “ศรีสวัสดิ์” ถือเป็นผู้บุกเบิกสร้างตลาดสินเชื่อรายย่อยระดับรากหญ้า เปิด “ตลาดใหม่” ให้บรรดาสถาบันการเงินเข้ามาสร้างรายได้จำนวนมหาศาล และเป็นแบรนด์ที่ถูกช่วงชิงกันระหว่างกลุ่มตระกูล “แก้วบุตตา” กับยักษ์ใหญ่อย่างธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งดวงใจ แก้วบุตตา กรรมการผู้จัดการบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) เปรียบเทียบเหมือนมหากาพย์เรื่องยาว มีการเจรจาหลายรอบและฟ้องร้องอยู่นานหลายเดือน 
 
จุดเริ่มต้นของ “ศรีสวัสดิ์” เกิดจากแนวคิดของเสี่ยเจ้าของธุรกิจอู่ซ่อมรถในจังหวัดเพชรบูรณ์ ฉัตรชัย แก้วบุตตา ซึ่งมีเครือข่ายลูกค้าที่นำรถยนต์มาใช้บริการในอู่อยู่เป็นประจำ และส่วนใหญ่มักเจอปัญหาการติดต่อขอกู้เงินจากธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเอกสารรายได้ทางการเงิน การตรวจสอบเครดิต รวมถึงการเดินทางไปยังสาขาต่างๆ ของธนาคาร 
 
ปี 2522 ฉัตรชัยตัดสินใจเปิดธุรกิจปล่อยเงินกู้ด้วยวิธีจำนำทะเบียนรถเป็นหลักประกัน โดยใช้ชื่อมารดา “ศรีสวัสดิ์ แก้วบุตตา” ตั้งชื่อกิจการว่า “บริษัท ศรีสวัสดิ์ เพชรบูรณ์” เริ่มต้นธุรกิจให้บริการสินเชื่อในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้วิธีเดินสายไปยังพื้นที่ชุมชนต่างๆ จนเป็นที่รู้จักและถือเป็นเจ้าตลาดในจังหวัด เนื่องจากมีการจัดระบบการให้สินเชื่ออย่างเป็นระบบ มีหลักฐานสัญญาชัดเจน และสามารถเจรจาผ่อนผันการชำระได้ 
 
ดำเนินธุรกิจเกือบ 20 ปี  บริษัท ศรีสวัสดิ์ เพชรบูรณ์ ขยายสาขาไปยังจังหวัดต่างๆ มากกว่า 130 สาขาทั่วประเทศ  เนื่องจากมีลูกค้าจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้ารับบริการทางการเงินจากธนาคารทั้งของรัฐและเอกชน ต้องไปพึ่งบริการเงินกู้นอกระบบที่มีสัญญาไม่เป็นธรรม โดยถือเป็น “เบอร์ 1” ในตลาดสินเชื่อรถแลกเงิน
 
ปี 2550 กลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งมี “เอไอจี” หรืออเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจประกันและผู้ให้บริการทางการเงินยักษ์ใหญ่ สัญชาติอเมริกัน เข้ามาเจรจาขอร่วมทุนกับกลุ่มศรีสวัสดิ์ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด สร้างแบรนด์ทางการค้า “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ทำตลาดทั่วประเทศ 
 
เวลานั้นฉัตรชัยวางทางหนีทีไล่รองรับสิ่งที่ไม่คาดคิดในธุรกิจ ซื้อบริษัท พีวี แอนด์เคเคเซอร์วิส 2008 เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท แต่ยังเปิดดำเนินธุรกิจ
 
จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงปี 2552 ผลพวงจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐอเมริกา หรือ “แฮมเบอร์เกอร์ไครซิส” กลุ่มเอไอจีเจอปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนักและประกาศนโยบายบังคับให้บริษัทลูกในเครือตัดขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ซึ่งรวมถึงธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อย รถแลกเงิน “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ด้วย 
 
เอไอจีได้รับการติดต่อจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเวลานั้นมีกลุ่ม จีอี แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (GECIH) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เสนอซื้อกิจการ “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” ทั้ง 100%  
 
ขณะที่กลุ่มแก้วบุตตาพยายามเจรจาซื้อคืนกิจการทั้งหมดจากเอไอจี เสนอราคาหลายรอบ แต่สุดท้าย ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุข้อตกลง ฮุบบริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด ทั้งหมด รวมถึงแบรนด์ทางการค้า “ศรีสวัสดิ์ เงินติดล้อ” 
 
ทั้งนี้ เหตุผลที่เอไอจียอมขายกิจการซีเอฟจีให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากได้ราคาขายสูงกว่า แม้มีมูลค่ารวมในขณะนั้นแค่หลักร้อยล้านบาทก็ตาม  
 
ด้านฉัตรชัย แก้วบุตตา หลังอกหักจากดีลซื้อคืนกิจการที่บุกเบิกมากับมือ รีบเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ซื้อบริษัท พาวเวอร์ 99 เปิดบริษัทใหม่ “ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์” เป็นผู้ประกอบธุรกิจรับจ้างจัดเก็บหนี้และบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เร่งขยายสาขาแบบปูพรม 136 สาขา เพื่อทวงคืนตลาดและฐานลูกค้า   
 
ปี 2553 บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5 ล้านบาท และเริ่มดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อจำนำรถทุกประเภท รวมถึงการให้บริการสินเชื่อประเภทที่อยู่อาศัย ภายใต้สโลแกนใหม่ “มีบ้าน มีรถ เงินสดทันใจ” และปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม โดยซื้อบริษัทอีก 2 แห่งและเปลี่ยนชื่อใหม่ คือ บริษัท เค.พี.เอ็น.โฮลดิ้ง จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1982 และบริษัท เจ.ดี.ที.มั่นนี่ เซอร์วิส เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด 
 
หลังจากนั้นประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 200 ล้านบาท และโอนธุรกิจเดิมจาก “ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์” มาดำเนินการที่บริษัทแม่และบริษัท ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1982 โดยเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 265 สาขาในสิ้นปี  2554 
 
ปี 2555 บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 200 ล้านบาท เป็น 750 ล้านบาท  และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในปี 2556 
 
การรุกขยายสาขาและทำตลาดแบบติดจรวด โดยเฉพาะการใช้แบรนด์ “ศรีสวัสดิ์” เป็นตัวรุก ไม่ต่างจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกลุ่มจีอี แคปปิตอลฯ ต้องการขยายตลาดสินเชื่อรายย่อยอย่างเข้มข้นและมองว่าการทำตลาดของกลุ่มแก้วบุตตาสร้างความสับสนให้กลุ่มลูกค้า จึงประกาศยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อบังคับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด ยกเลิกการใช้ชื่อ “ศรีสวัสดิ์” ทำตลาด
 
ขึ้นศาลกันหลายรอบ แต่สุดท้าย ศาลไม่ได้มีคำสั่งตามคำร้องขอของธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยให้เหตุผลว่า ชื่อ “ศรีสวัสดิ์” เป็นชื่ออำเภอในจังหวัดกาญจนบุรี และเป็นชื่อทั่วไปที่สามารถนำมาจดจัดตั้งบริษัทได้ ขณะที่ตัวแบรนด์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากกลุ่มศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ไม่ได้หยิบคำว่า “ศรีสวัสดิ์” เข้ามาอยู่ในโลโก้และแบรนด์ 
 
อย่างไรก็ตาม บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังคงประกาศเตือนและจะฟ้องร้องคู่แข่งที่ลอกเลียนแบบยี่ห้อทางการค้า โฆษณาคำพูดที่คล้ายคลึงกัน การประชาสัมพันธ์ที่สร้างความสับสนให้ลูกค้า
 
ส่วนกลุ่มแก้วบุตตาเดินหน้าดำเนินธุรกิจบริการให้สินเชื่อภายใต้ชื่อกลุ่ม “ศรีสวัสดิ์” และสโลแกน  “มีบ้าน มีรถ เงินสดทันใจ” เช่นเดิม ผ่าน 600 สาขาทั่วประเทศ 
 
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น มหากาพย์ “ศรีสวัสดิ์” ยังไม่ได้ยุติแบบเด็ดขาดและมีสิทธิ์เปิดภาคต่อได้ทุกเมื่อด้วย 
 
Related Story