วันเสาร์, พฤษภาคม 10, 2025
11:02:02 PM
Home > Cover Story > สำรวจความซ่าของเป๊ปซี่ 7 ปี ภายใต้ปีก “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค”

สำรวจความซ่าของเป๊ปซี่ 7 ปี ภายใต้ปีก “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค”

“เป๊ปซี่” (Pepsi) เข้ามาในเมืองไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 ด้วยการจับมือกับ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ในรูปแบบของพาร์ตเนอร์ที่ได้รับสิทธิ์ในการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มโคล่า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “เป๊ปซี่” ในประเทศไทย จากเป๊ปซี่โค อินค์. (PepsiCo) บริษัทแม่ของแบรนด์เป๊ปซี่จากสหรัฐอเมริกา โดยทางกลุ่มเป๊ปซี่โคจะขายหัวเชื้อเป๊ปซี่ให้ ส่วนการผลิตและจัดจำหน่ายในไทยเป็นของเสริมสุข หลังจากนั้นเครื่องดื่มเป๊ปซี่ก็เป็นที่รู้จักและครองใจคนไทยมาได้อย่างยาวนาน โดยตีคู่กับอีกหนึ่งแบรนด์ดังอย่าง “โคคา-โคล่า” หรือ โค้ก (Coke)

ปี 2555 หลังจากร่วมเดินทางกันมากว่า 59 ปี สุดท้ายกลุ่มเป๊ปซี่โคและเสริมสุขตัดสินใจยุติสัญญากัน โดยบริษัท เป๊ปซี่โค อินค์. ได้จัดตั้งบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ขึ้น เพื่อดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มเป๊ปซี่ในประเทศไทยด้วยตัวเอง ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา

ในขณะที่เสริมสุขก็หันมาผลิตน้ำดำแบรนด์ใหม่เข้ามาท้าชิง ในชื่อ “Est Cola” ซึ่งใช้สูตรการผลิตที่คิดค้นขึ้นใหม่ โดยมีพิธีเปิดตัวสินค้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 โดยปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของเสริมสุข ก็คือ บริษัท โซ วอเตอร์ จำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือไทยเบฟ

ทางฝั่งเป๊ปซี่หลังเลิกสัญญากับเสริมสุขและหันมาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเองได้ราวๆ 5 ปี พอปลายปี 2560 เป๊ปซี่โคก็ออกมาประกาศดีลใหญ่สะเทือนวงการเครื่องดื่มไทยอีกครั้ง ด้วยการประกาศร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจที่คุ้นเคยกันมานานอย่าง “ซันโทรี่” (Suntory) ยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่มระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้ง “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด” หรือ Suntory PepsiCo Beverage Thailand ด้วยทุนจดทะเบียน 19,680 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้น ซันโทรี่ 51% เป๊ปซี่โค 49% กลายเป็นการร่วมทุนครั้งประวัติศาสตร์จากฝั่งตะวันตกและตะวันออก เพื่อดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์แบบครบวงจรในประเทศไทยร่วมกัน ตั้งแต่การผลิต จัดจำหน่าย กระจายสินค้า การสร้างแบรนด์ และทำการตลาด โดยนำพอร์ตโฟลิโอของทั้ง 2 ฝ่ายมาบุกตลาด

อีกทั้งมีการเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ “Growing for Good” หรือ “เติบโตอย่างยั่งยืน” ใน 5 ด้าน ได้แก่  1. เสริมสร้างความแข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์หลัก 2. สร้างการเติบโตผ่านการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมสินค้าเพื่อสุขภาพ ลดน้ำตาล และเครื่องดื่มไม่อัดลม 3. ขยายตลาด Traditional Trade และ Modern Trade 4. เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรในการผลิต ลดปริมาณแคลอรีในผลิตภัณฑ์และปริมาณการใช้น้ำในการผลิต 5. พัฒนาองค์กร ด้วยการสร้างแบรนด์องค์กรและวัฒนธรรมการทำงานที่ดี

ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ครอบคลุม 4 กลุ่มเครื่องดื่ม ได้แก่ 1. กลุ่มน้ำอัดลม ซึ่งมี “เป๊ปซี่” เป็นแบรนด์หลัก รวมถึง มิรินด้า (Mirinda) และ เซเว่นอัพ (7Up), 2. เครื่องดื่มให้พลังงาน (Penetrate Energy & Hydration) ได้แก่ Gatorade, สติงค์ (Sting), Rockstar 3. ชาและกาแฟพร้อมดื่ม ได้แก่ Lipton, TEA+, BOSS Coffee และ 4. น้ำดื่มอย่างแบรนด์ Aquafina ทั้งนี้ น้ำอัดลมยังถือเป็นพอร์ตฯ ใหญ่ของบริษัท โดยครองสัดส่วนราวๆ 75%

ล่าสุดยังได้แม่ทัพใหม่อย่าง “ทานุจ ชาดา” ที่มีประสบการณ์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) กว่า 20 ปี มานั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด อีกด้วย

โดยทานุจฉายภาพว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา  ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค มีการขยายพอร์ตฯ ที่น่าสนใจ ทั้งการเพิ่มพอร์ตฯ ของชาพร้อมดื่มอย่าง TEA+ ที่ดีต่อสุขภาพ, ชาลิปตัน แม้จะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ก็มีการรีแบรนด์เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เด็กลงมากขึ้น โดยเปิดตัวลิปตันซ่าออกสู่ตลาดถึง 3 รสชาติ, BOSS Coffee กาแฟพร้อมดื่มที่เป็นที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่น ก็นำมาเสริมพอร์ตฯ ในไทย ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มให้พลังงานที่มีทั้งให้พลังงานและความซ่า ซึ่งเป็นการขยายพอร์ตฯ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างแต้มต่อในธุรกิจเครื่องดื่ม ในขณะที่แบรนด์ “เป๊ปซี่” ก็มีการออกผลิตภัณฑ์ภัณฑ์ใหม่ๆ มาสร้างสีสันและเสริมแกร่งให้กับแบรนด์หลักของบริษัทเช่นกัน

นั่นทำให้ในระยะเวลา 7 ปี ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค สามารถสร้างการเติบโตในธุรกิจเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 8.2% ซึ่งโตกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ถึง 2 เท่า อีกทั้งยังสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม (CSD) ได้เพิ่มขึ้น 2.7% ซึ่งแน่นอนว่า “เป๊ปซี่” คือแบรนด์เรือธง ที่น่าสนใจคือการเติบโตของ cola no sugar หรือเครื่องดื่มโคล่าแบบไม่มีน้ำตาลที่เติบโต 16.1% ในส่วนของพอร์ตฯ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ออกมาตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบันยังมีการเติบโตขึ้นถึง 5 เท่า นอกจากนั้น ยังได้รับรางวัล ‘50 องค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด ประจำปี 2568’ (Top 50 Companies in Thailand 2025) จัดลำดับโดย WorkVenture ติดต่อกันถึง 2 ปี (2567-2568)

ถ้ามองภาพรวมของตลาดน้ำอัดลมในไทย พบว่า ปัจจุบันตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่ารวมกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท โดยที่เครื่องดื่มโคล่าหรือน้ำดำครองสัดส่วนถึง 72% ในตลาดน้ำอัดลม และคิดเป็น 38% ของเครื่องดื่มทั้งหมด สำหรับตลาดน้ำดำเจ้าตลาดยังคงเป็น “โค้ก” ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 51% ส่วน “เป๊ปซี่” อยู่ลำดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 39.1% ตามมาด้วย “เอส” และ “บิ๊ก โคล่า” ตามลำดับ

อนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมที่เติบโตขึ้น 2.7% นั้น มาจากการที่ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เน้นการเสริมแกร่งของธุรกิจหลักอย่างน้ำอัดลม โดยเฉพาะการส่งผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ๆ ในกลุ่มน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาลออกสู่ตลาด ส่งผลให้เครื่องดื่มเป๊ปซี่ไม่มีน้ำตาลมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 16.1% และทำให้ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา แบรนด์เป๊ปซี่มีการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังไม่สามารถชิงตำแหน่งเบอร์หนึ่งมาครองได้ก็ตาม

“ความสำเร็จของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เกิดจากการที่เราเน้นทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับพวกเขา”

สำหรับปี 2568 ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประกาศเดินเกมรุก ผ่านกลยุทธ์ “Must Win” ทั้งการเสริมแกร่งธุรกิจหลักอย่างเครื่องดื่มน้ำอัดลม ขยายการเติบโตในกลุ่มชา กาแฟพร้อมดื่ม และเครื่องดื่มให้พลังงาน และใช้นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ รวมถึงปรับภาพลักษณ์และสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ผ่านแคมเปญการตลาดที่เน้นเชื่อมต่อผู้บริโภคด้วยประสบการณ์อินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์ที่โดนใจ

นอกจากนี้ ยังเสริมแกร่งด้านการขายและซัปพลายเชน เพิ่มขีดความสามารถการผลิต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ที่สำคัญยังเดินหน้าทุ่มงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนสูงสุดในรอบ 7 ปี เพื่อมุ่งสู่การเป็น “บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย” โดยปัจจุบันซันโทรี่ เป๊ปซี่โค มีตัวแทนจำหน่ายอยู่ 25 แห่งทั่วประเทศ

“ในธุรกิจเครื่องดื่มมีหลาย category เราเป็นผู้เล่นที่เล่นอยู่ในแทบทุก category ทั้งน้ำอัดลม เครื่องดื่มให้พลังงาน ชา กาแฟ เครื่องดื่มเกลือแร่ ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มในกลุ่มน้ำตาลน้อยหรือไม่มีน้ำตาล ทั้งในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มให้พลังงาน โดยเราจะเดินเกมรุกตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม ปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ใกล้ชิดกับกลุ่ม Gen Z มากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมแกร่งเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในกลุ่มชาและกาแฟพร้อมดื่มพรีเมียม ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมถึงขยายการเติบโตในกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงาน ผ่านแคมเปญการตลาด 360 องศา ให้เข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ” อนวัช เสริม

โดยสิ่งที่จะได้เห็นในปีนี้คือ การออกสินค้าใหม่ๆ ภายใต้แบรนด์เป๊ปซี่ และมีแคมเปญการตลาดที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมในช่วงซัมเมอร์ ในส่วนของ “มิรินด้า” และ “เซเว่นอัพ” จะมีการรีแบรนด์ รีโพสิชันนิ่ง และปรับกลุ่มเป้าหมาย ครั้งใหญ่ในรอบ 3 ปี

สำหรับกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงาน มีการเปิดตัว “สติงค์” ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งถือว่าทำได้ดี เพราะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ในกลุ่มโมเดิร์นเอนเนอร์จี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ในส่วนของแบรนด์อื่นๆ ก็จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าลงทุนด้วยเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ในการขยายโรงงานผลิตที่จังหวัดสระบุรี เพิ่มกำลังการผลิตทั้งสินค้าเดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะออกสู่ตลาดในอนาคต เพื่อไต่ระดับสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่ม.