วันอาทิตย์, เมษายน 27, 2025
Home > Cover Story > THE KLINIQUE ยืนหนึ่งคลินิกความงาม ตอบโจทย์คนไทย “สวยติดแกลม”

THE KLINIQUE ยืนหนึ่งคลินิกความงาม ตอบโจทย์คนไทย “สวยติดแกลม”

แม้หลายฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันว่าสภาพเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันไม่สู้จะดีนัก หลายธุรกิจต่างได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ลดลง แต่สำหรับ “ธุรกิจความงาม” กลับเติบโตแบบสวนกระแส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “THE KLINIQUE” (เดอะคลีนิกค์) คลินิกการแพทย์ความงามเจ้าแรกที่เข้าเทรดในตลาดหุ้นไทย และขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในตลาดด้วยรายได้หลักพันล้านบาทต่อปี

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น THE KLINIQUE เปิดคลินิกความงามสาขาแรกขึ้นที่สยามสแควร์ เมื่อปี พ.ศ. 2552 ถือเป็นคลินิกน้องใหม่ที่สร้างความแตกต่างด้วยการนำนวัตกรรมฉายแสงรักษาสิวจากต่างประเทศที่ให้ประสิทธิภาพในการรักษาดีกว่าเข้ามาใช้ในเมืองไทย ในยุคที่คลินิกความงามส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเน้นเรื่องการนวดหน้า ทำทรีตเมนต์ และรักษาสิวแบบดั้งเดิม อย่างการกดสิว ทายา และกินยาเป็นหลัก

จากจุดเริ่มต้นที่สร้างความแตกต่างในตลาด THE KLINIQUE เดินหน้าพัฒนาบริการด้านความงามที่ครอบคลุมทั้งงานผิว ศัลยกรรมความงาม กระชับรูปร่าง และการดูแลป้องกันฟื้นฟู มีการพัฒนาทีมแพทย์ เทคโนโลยี และเครื่องมือทางการแพทย์ อีกทั้งยังขยายสาขาและแตกแบรนด์อย่างต่อเนื่อง กระทั่งสามารถนำบริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้เป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ภายใต้กลุ่มบริการที่ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “KLINIQ” โดยมีนายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ หรือ หมอเติ้ล ในฐานะผู้ก่อตั้ง THE KLINIQUE เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

ปัจจุบัน THE KLINIQUE มีจำนวนสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น 72 สาขา แบ่งเป็น THE KLINIQUE จำนวน 45 สาขา L.A.B.X Clinic จำนวน 23 สาขา THE KLINIQUE Surgery Center จำนวน 1 สาขา KLINIQ Wellness Spa จำนวน 2 สาขา และแบรนด์ L’Clinic อีก 1 สาขา

สำหรับผลประกอบการก็สามารถไต่ระดับเพิ่มอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยปี 2564 สร้างรายได้รวมที่ 952.14 ล้านบาท กำไรสุทธิ 129.26 ล้านบาท, ปี 2565 รายได้รวม 1,647.20 ล้านบาท กำไรสุทธิ 205.49 ล้านบาท, ปี 2566 รายได้รวม 2,318.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 288.62 ล้านบาท, ปี 2567 รายได้รวม 3,008.95 ล้านบาท กำไรสุทธิ 322.19 ล้านบาท ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ในแง่ของรายได้ โดย 80% เป็นรายได้ที่มาจากบริการเสริมความงามแผนกผิวหนังในหัตถการแบบไม่ต้องผ่าตัด (non-invasive) และ 20% จากบริการดูแลรูปร่าง ศัลยกรรม เวลเนส (invasive)

ในขณะที่ภาพรวมของตลาดศัลยกรรมและความงามของประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 คาดว่ามูลค่าตลาดรวมจะสูงถึง 76,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2.8% จากปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2567-2573 สูงถึง 11.6%

“ตลาดความงามของไทยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คลินิกความงามยังไม่ได้เยอะมากนัก สมัยที่ THE KLINIQUE เปิดสาขาแรกที่สยามเมื่อ 16 ปีก่อน ตอนนั้นมูลค่าตลาดความงามน่าจะแค่ประมาณหมื่นถึงสองหมื่นล้านบาทเอง ปัจจุบันผ่านมา 16 ปี ตลาดเติบโตขึ้นมาถึง 70,000 กว่าล้านบาท เรียกว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะช่วงหลังโควิดที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาท คนให้ความสำคัญเรื่องรูปร่างหน้าตา บางคนไลฟ์สดขายของก็ต้องการภาพลักษณ์ที่ดูดี ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโต”

“สำหรับ THE KLINIQUE เราขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งได้ภายในระยะเวลา 16 ปี ถือว่าเร็วมาก ซึ่ง Key success factors หรือสิ่งที่ทำให้ THE KLINIQUE ประสบความสำเร็จมาจาก 3 เสาหลัก คือ 1. เครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยี 2. ทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ และ 3. แบรนดิ้ง  ตลอด 16 ปีที่ผ่านมาเราลงทุนเครื่องมือแพทย์ไปมากกว่า 1,500 ล้านบาท ถือว่าเยอะมาก อย่างเครื่อง Ulthera เรามีถึง 65 เครื่อง น่าจะมากที่สุดในเอเชียแล้ว ทั้ง 3 เสาหลักทำให้ THE KLINIQUE มีวันนี้ และจะทำให้เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการแพทย์ความงามต่อไปได้อีกในอนาคต” นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงจุดแข็งที่ทำให้ THE KLINIQUE ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการแพทย์ความงาม

นพ. อภิรุจ ขยายความต่อว่าเครื่องมือทางการแพทย์และอุปกรณ์ต่างๆ นั้น THE KLINIQUE นำเข้าจากทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา และล้วนเป็นเครื่องมือระดับ Gold Standard ทั้งสิ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาใช้บริการ ซึ่งมีรางวัลจากหลายเวทีเป็นเครื่องการันตี เช่น รางวัล The Winner of Golden Records Award: ASIA PACIFIC Highest Achievement for Ulthera, The Thailand Number One Legendary Award for Ultherapy Nationwide Coverage, The Diamond Award for Filler (Belotero) รางวัลคลินิกที่ให้บริการเติมเต็มและปรับรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์สูงสุด เป็นต้น โดย 10% ของงบ R&D ถูกนำไปใช้ในการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์และพนักงาน และยังดึงนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” มาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งล้วนเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างฐานลูกค้าให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา THE KLINIQUE สามารถทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำในอัตราที่สูงถึง 70% ซึ่งนั่นหมายถึงความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าเดิมและลดต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ ทำให้รายได้ของคลินิกเติบโตมากขึ้น

คนไทยขอสวยแบบติดแกลม สวยแบบลูกคุณหนู

นพ.อภิรุจยังได้เผยถึงเทรนด์ความงามและการตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันว่า จากผลการสำรวจของ Euromonitor ปี 2565 พบว่า 3 อันดับนิยามความงามของคนไทยคือ อันดับ 1 สวยแบบมีสุขภาพดี (Looking healthy) อันดับ 2 สวยติดแกลม สวยหรูดูแพงแบบลูกคุณหนู (Glamorous beauty) และอันดับ 3 สวยในแบบที่เป็นตัวเอง (Looking your best)

จุดที่น่าสังเกตคือ เมื่อเทียบกับทั่วโลก หรือแม้กระทั่งประเทศในทวีปเอเชียด้วยกันอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินโดนีเซีย อินเดีย ฯลฯ ไทยเป็นประเทศเดียวที่ให้ความสำคัญกับความสวยแบบติดแกลมมากเป็นอันดับ 2 ในขณะที่คนทั่วโลกนิยามความงามอันดับ 1 ที่สวยสุขภาพดี รองลงมาคือสวยสะอาดสะอ้าน และอันดับสามคือสวยแบบมั่นใจ ซึ่งแน่นอนว่า THE KLINIQUE มีบริการที่ตอบโจทย์ความสวยแบบติดแกลมเช่นกัน

“สวยติดแกลมในนิยามคือการมีผิวที่เรียบ สม่ำเสมอ ผิวธรรมชาติมีสุขภาพดี ตึงกระชับ มีความโกลว์ และมีเหลี่ยมมุมที่รับและสะท้อนแสงได้ดี เป็นเทรนด์ความงามที่ครองใจคนไทยที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก ซึ่ง THE KLINIQUE สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคในทั้ง 3 อันดับนิยามความงามได้ รวมทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์ก็สอดคล้องกับเทรนด์ดังกล่าวเช่นกัน”

Big Move รุกตลาด “ขน” ด้วย Music Marketing

นอกจากนิยามความงามของคนไทยที่เปลี่ยนไปแล้ว THE KLINIQUE ยังพบว่ากลุ่มบริการกำจัดขนมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เฉพาะของ THE KLINIQUE เองมีการเติบโตมากถึง 30% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีก จากการที่ผู้บริโภคมีความนิยมในการกำจัดขนมากขึ้นเพื่อความสวยงาม และการดูแลความสะอาด โดย 3 อันดับบริเวณที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเข้าสู่บริการกำจัดขนมากที่สุดคือ รักแร้ บิกีนี ใบหน้า นอกจากนั้น ยังเป็นบริการที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย และสามารถต่อยอดไปสู่บริการอื่นๆ ได้ THE KLINIQUE จึงเล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจ ปักธงรุกตลาดกำจัดขนอย่างจริงจังหลังชิมลางตลาดมาแล้วระยะหนึ่ง

“สมัยก่อน THE KLINIQUE มีสัดส่วนรายได้จากบริการเลเซอร์กำจัดขนเพียงแค่ 5-7% เท่านั้น ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 10% ของรายได้รวม และเป็นเคสงานแก้ถึง 40-50% นั่นหมายความว่าลูกค้าเลเซอร์กำจัดขนกว่า 50% ของ THE KLINIQUE เคยรักษาจากที่อื่นแล้วไม่เห็นผลจึงมารักษากับเรา ตลาดกำจัดขนเป็นตลาดที่กว้างมาก ลูกค้าส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องขน ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุไหนก็ตาม เราต้องการดึงลูกค้ากลุ่ม first entry เข้ามา เพราะบางคนไม่ได้อยากฉีดโบท็อกซ์ ไม่อยากเติมเต็ม หน้าไม่มีปัญหามาก แต่เรื่องขนส่วนใหญ่ทุกคนมี จึงอยากดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาในคลินิกของเรา ถือเป็น Big Move ของ THE KLINIQUE”

จุดแข็งของบริการกำจัดขนที่ THE KLINIQUE จะนำมาบุกตลาดคือ 1. บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ  เพราะมีการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยมีการเก็บเคสขั้นต่ำ 40-50 เคส ก่อนให้บริการจริง 2. เทคโนโลยีในการกำจัดขนแบบ Gentle YAG จากอเมริกา เป็นเครื่องยิงลอยห่างผิว ไม่ใช้เจล ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ พลังงานมีความเสถียรและลงลึกถึงรากขนทำให้เห็นผลแบบยั่งยืน

ที่สำคัญคือการบุกตลาดกำจัดขนครั้งนี้ THE KLINIQUE ใช้กลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้ง (Music Marketing) มาเป็นตัวเปิดตลาด ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแคมเปญ “หมอไหน” มิวสิกมาร์เกตติ้งแรกที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และสร้างยอดวิวไปมากถึง 1,000,000 วิว

สำหรับมิวสิกมาร์เกตติ้งครั้งนี้เลือกใช้แนวเพลง “ลูกทุ่งติดแกลม” เพลงลูกทุ่งที่ผสมความทันสมัย สนุก เร้าใจ ถูกจริตคนไทย เพื่อมาสื่อสารเรื่อง “ขน” ให้เป็นสิ่งที่สามารถพูดถึงได้อย่างเปิดเผย ผ่านเพลง “ถ้าพี่ไม่ชัวร์ (หนูอยากโดน…เล)” ซึ่งได้ศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย และ BADMIXY หรือ มิกซ์- เฉลิมศรี ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงยุคใหม่ มาร่วมร้องและแต่งเพลง นอกจากนี้ ยังดึง ปอป้อ-ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักกีฬาแบดมินตันขวัญใจคนไทยมาร่วมแสดงในมิวสิกวิดีโอ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกด้วย

เนื้อเพลงจะเป็นศิลปะของการพูดเรื่องขนให้เข้าไปในชีวิตคนไทยได้อย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติ โดยเล่นกับเส้นบางๆ ของความสนุกปนทะลึ่งนิดๆ ที่คนไทยชื่นชอบ อีกทั้งยังมีความร่วมสมัยและเข้าถึงคนได้หลากหลายกลุ่ม

“ขนเป็นเรื่องที่หลายคนเขินที่จะพูด มีความสองแง่สามง่ามของมันอยู่ และยากในการทำมาร์เกตติ้ง ซึ่งเพลงลูกทุ่งนี่แหละเหมาะที่จะนำมาใช้ในการเล่าเรื่องนี้ คุณจ๊ะเป็นลูกทุ่งหญิงอันดับต้นของไทย คุณมิกซ์ก็มีแฟนคลับเยอะมาก การได้ 2 ท่านนี้มาร่วมงานจะช่วยดึงฐานแฟนคลับของทั้งคู่ รวมถึงกลุ่มที่ชอบฟังเพลงลูกทุ่งที่อาจเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ของ THE KLINIQUE ได้มากขึ้น ผมมั่นใจว่าเสียงตอบรับจะดีโดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ที่จะถึงนี้เพราะเพลงมีความสนุก”

นพ.อภิรุจเชื่อว่าการบุกตลาดกำจัดขนครั้งนี้จะเป็นตัวสร้างรายได้ประจำให้กับคลินิกได้อีกทางหนึ่ง โดยตั้งเป้าหลังจากปล่อยเพลง “ถ้าพี่ไม่ชัวร์ (หนูอยากโดน…เล)” ออกไปจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบริการกำจัดขนขึ้นเป็น 15-20% ได้ภายในสิ้นปี 2568

นอกจากการบุกตลาดกำจัดขนแล้ว ในปีนี้ THE KLINIQUE ยังมีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา เพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจ แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 5 สาขา และต่างจังหวัดอีก 5 สาขา โดยเบื้องต้นเล็งไว้ที่จังหวัดเชียงราย และสุราษฎร์ธานี งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 30 ล้านบาท คาดว่าจบปี 2568 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 80-82 สาขา ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2568 ไว้ที่ 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 500 ล้านบาท จากปี 2567 และตั้งเป้าหมายมีอัตราส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 12% เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 10.8%