วันพุธ, มีนาคม 26, 2025
Home > Cover Story > วิรัช จันทร์บูรณ์  โค้งสุดท้ายดัน “ปั้นคำหอม” เข้าตลาดหุ้น

วิรัช จันทร์บูรณ์  โค้งสุดท้ายดัน “ปั้นคำหอม” เข้าตลาดหุ้น

“ปั้นคำหอมมีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงไตรมาส 3 ปี 2569 บริษัทเตรียมมาหลายปีและปีนี้เข้าปีที่ 3 เป็น Process โค้งสุดท้าย เป้าหมายผมไม่ได้เน้นเรื่องเงิน แต่มองการพัฒนา System การวางโครงสร้างการบริหารมีคณะทำงานที่เป็นมืออาชีพระดับบอร์ด มีระบบการควบคุม มาตรฐานการดูแลตรวจสอบเหมือนบริษัทในตลาดฯ เพื่อสร้างการเติบโตและความยั่งยืนในอนาคต”

“ถามว่าเราแข่งกับใคร ต้องตอบว่า แข่งกับตัวเอง ทำอย่างไรให้บริษัทมีความยั่งยืน ผลิตขนมไทยไปต่างประเทศ นั่นเป็นเป้าหมายหลัก”

วิรัช จันทร์บูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีอาร์พี ฟู้ด แอนด์ เบเกอรี่ จำกัด เจ้าของแบรนด์ธุรกิจขนมไทยและเบเกอรี่ “ปั้น คำ หอม” กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา” ถึงภารกิจและเป้าหมายช่วงปี 2568-2569 หลังใช้เวลากว่าสิบปีปลุกปั้นแบรนด์จากขนมหาบขายยุคคุณแม่ลำพาในอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี จนวันนี้กลายเป็นธุรกิจเบเกอรี่ครบวงจร

“จริงๆ แล้ว ผมและภรรยา คือ คุณรัชดา (ปู) ทำงานแบงก์มาทั้งคู่ อยู่ธนาคารไทยพาณิชย์ ผมอยู่สายสินเชื่อ ส่วนภรรยาอยู่สายเงินฝาก อยู่แบงก์เกือบสิบปี และไม่เคยจับธุรกิจขนมไทย ซึ่งจริงๆ เป็นธุรกิจของคุณแม่คุณปู แต่เราอยากต่อยอดทำธุรกิจ เอาสิ่งที่เราคุ้นเคย มีแบ็กกราวด์ เพราะถ้าไปเริ่มธุรกิจใหม่ จะยาก”

วิรัชและรัชดาจึงเร่งเก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆ เข้าอบรมบ่มเพาะด้านแฟรนไชส์กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดบูธในศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฝึกทักษะและแตกไลน์เบเกอรี่ โดยทดลองเซตร้านแรกระหว่างการอบรมจนคิดว่า ทุกอย่างพร้อมแล้ว

เดือนตุลาคม 2546 วิรัชลงทุนเปิด “ปั้น คำ หอม” ร้านแรกใน จ.กาญจนบุรี และเริ่มขยายสาขาในปี 2556 หลังลุยโรงงานผลิตที่ท่ามะกาและจดทะเบียนตั้งบริษัท วีอาร์พีฟู้ด แอนด์ เบเกอรี่ จำกัด ซึ่งหากย้อนประสบการณ์ตั้งแต่ยุคคุณแม่ลำพาต้องถือว่า ปั้นคำหอมอยู่ในวงการขนมมากกว่า 50 ปี ปัจจุบันมีสินค้าหลักๆ ขนมไทยและเบเกอรี่มากกว่า 300 รายการ มีกลุ่มลูกค้าและช่องทางขายทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ ทั้งตลาดในและต่างประเทศ มีลูกค้าหลักครบ 3 ส่วน

ส่วนแรกเป็นกลุ่มผู้บริโภค โดยขายผ่านหน้าร้านและกำลังเร่งขยายช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์และ TikTok ซึ่งได้ผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก กลุ่มลูกค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มครอบครัว วัยรุ่น นักเรียนนักศึกษา และคนทำงาน

ส่วนที่สองเป็นการรับจ้างผลิต (OEM) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขนมไทยแช่แข็ง (Frozen) ให้ผู้ค้าส่งออกต่างประเทศ เช่นในตลาดอเมริกา และผู้ค้าในประเทศ มีทั้งขนมชั้น ข้าวเหนียวมูล ขนมตาล ลูกชุบ ขนมถ้วย และมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนที่ 3 กลุ่มโรงแรมและคาเฟ่ต่างๆ ซึ่งปั้นคำหอมผลิตส่งขายให้โรงแรมหลายแห่งในกรุงเทพฯ ทั้งขนมไทยและเบเกอรี่

“หากเปรียบเทียบสัดส่วนกันแล้ว หน้าร้านที่ปัจจุบันมีสาขารวม 57 แห่ง มีสัดส่วนยอดขายมากสุด 90% เพราะบริษัทเพิ่งเริ่มทำส่งออกและโออีเอ็ม แต่มีโอกาสขยายตัวมากขึ้น มีตลาดรองรับชัดเจนและก่อนหน้านี้ได้ขยายกำลังผลิต เพิ่มเครื่องจักร และขอระบบรับรองมาตรฐานต่างๆ รวมถึงมาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ฮาลาล”

สำหรับหน้าร้านมี 3 โมเดล ประกอบด้วยโมเดลคีออส ขนาดพื้นที่ 50 ตารางเมตร เน้นการขายแบบซื้อกลับบ้านหรือ Take away ส่วนใหญ่อยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า โมเดิร์นเทรด และตลาดในชุมชนต่างๆ

โมเดลที่ 2 ร้านเบเกอรี่แอนด์คาเฟ่ บริการเบเกอรี่ ขนมไทยและกลุ่มเครื่องดื่ม พื้นที่ 100-150 ตารางเมตร มีรายการขนมและเบเกอรี่หลากหลายมากขึ้น พร้อมครัวผลิตสด ส่วนโมเดลที่ 3 คาเฟ่แอนด์เรสเตอรองต์ พื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร ส่วนใหญ่เป็นสาขาสแตนด์อะโลน ซึ่งปัจจุบันนำร่องเปิด 3 สาขา ได้แก่ สาขาราชบุรี รามอินทรา ม.บูรพา แหลมฉบัง

นอกจากนั้น เตรียมเปิดขายสิทธิ์แฟรนไชส์หลังปรับระบบใหม่ทั้งหมดในช่วงปลายปี 2568 เบื้องต้นจะเน้นโมเดลคีออส เพราะใช้เงินลงทุนไม่สูง อัตราการขายเทิร์นกำไรไว เจาะทำเลพื้นที่ในตลาดและย่านชุมชน เพื่อปูพรมสาขาอย่างรวดเร็ว

ล่าสุด บริษัทยังแตกแบรนด์ร้านเบเกอรี่กึ่งคาเฟ่ “รัมภา” นำร่องสาขาแรกในห้างเซ็นทรัล นครปฐม ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกแบรนด์ที่สามารถเติบโตอย่างมีศักยภาพในอนาคต

วิรัชกล่าวว่า จุดขายและจุดแข็งหลักของปั้นคำหอม คือ เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง มีแผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) ศึกษา ค้นคว้า วิจัย ต่อยอดขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทุกเดือน โดยเฉพาะการแตกไลน์กลุ่ม Frozen มีความหลากหลายมากๆ ทั้งขนมไทยและเบเกอรี่ ซึ่งโรงงานผลิตใน จ.กาญจนบุรี ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 300 คน ผลิตสินค้ากว่า 200 ชนิดต่อวัน เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ลดการใช้สารปรุงแต่ง วัตถุกันเสีย และพัฒนาสู่การใช้วัตถุดิบตั้งต้นออแกนิก เพื่อพัฒนาสินค้าเพื่อสุขภาพเป็นทางเลือกให้ลูกค้าด้วย เช่น กลุ่มสินค้าคีโตเจนิก สินค้าที่ใช้สารทดแทนความหวาน สินค้ากลุ่ม Low Sugar สินค้ากลุ่มหมักด้วยยีสต์ธรรมชาติ เช่น Sourdough Bread กรีกโยเกิร์ต ซูเปอร์ฟู้ด เช่น อาซาอิเบอร์รี่ (Acai)

เมื่อถามว่า ในฐานะแบรนด์เบเกอรี่ที่กำลังบุกตลาดและต้องแข่งขันกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่ โจทย์ข้อสำคัญคืออะไร

เขาตอบทันทีว่า 1. ต้องมีระบบงาน การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง 2. การบริหารจัดการเงินทุน สภาพคล่อง 3. โนว์ฮาว อาร์แอนด์ดี เป็นแกนหลักในการขยายธุรกิจ สามารถแข่งขันได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา และ 4. การบริหารธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นบริษัทที่มีหลักธรรมาภิบาล

“การต่อสู้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่อยู่มานานและเงินทุนสูง ผมว่า เงินทุนไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่การสร้างการยอมรับของลูกค้ามากกว่า คุณภาพสินค้าและบริการ ส่วนเรื่องการเติบโต ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เราเห็นในหลายธุรกิจ บางธุรกิจมีคนเข้ามาในตลาดก่อน มีสาขาครอบคลุม แต่มีรายเล็กที่ทำได้ดีกว่า”

วิรัชยืนยันว่า หัวใจหลัก คือ การแข่งขันกับตัวเอง พัฒนาตัวเอง สร้างสินค้าและการบริหารภายใน เป็นองค์ประกอบสำคัญมากกว่า.