ปี 2021 เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้เปิดเแผนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ภายในปี 2050 (Nestlé Thailand Net Zero 2050 Roadmap) ผ่านมาแล้ว 4 ปี ตอนนี้ความคืบหน้าของแผนสู่ความยั่งยืนดังกล่าวไปถึงไหน เราจะไปสำรวจพร้อมๆ กัน
โดยเนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ดำเนินงานตาม 2 กลยุทธ์หลัก คือ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลก (Good for the Planet) ที่มุ่งสู่ Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
ความคืบหน้าภายใต้กลยุทธ์ “Good for You”
ปี 2024 เนสท์เล่ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” ในปริมาณมากกว่า 4,600 ล้านหน่วยบริโภคในโดยมีผลิตภัณฑ์ 115 รายการที่ได้รับสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย และยังส่งมอบอาหารและเครื่องดื่มที่เสริมแร่ธาตุและวิตามิน อีก 3,400 ล้านหน่วยบริโภค เพื่อช่วยต่อสู้กับภาวะทุพโภชนาการและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับคนไทย
นอกจากพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพแล้ว เนสท์เล่ ยังส่งเสริม “การกินอยู่อย่างสมดุล” มุ่งให้ความรู้ด้านสุขภาพ โภชนาการ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนไทยกว่า 5.48 ล้านคนตลอดเวลากว่า 16 ปี ผ่านโครงการเนสท์เล่ คาราวานครอบครัวแข็งแรง และโครงการภารกิจพิชิตสุขภาพดี
ความคืบหน้าภายใต้กลยุทธ์ “Good for the Planet” ที่มุ่งสู่ Net Zero 2050
สำหรับกลยุทธ์ Good for the Planet เนสท์เล่ตั้งเป้าให้ผลิตภัณฑ์และการดำเนินงานมีความยั่งยืน ตั้งแต่ฟาร์มไปสู่มือผู้บริโภค โดยในปี 2021 เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้เปิดเแผนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ภายในปี 2050 (Nestlé Thailand Net Zero 2050 Roadmap) และมีความคืบหน้าในปี 2025 ตามแผนงานใน 4 มิติ ดังนี้
1. จัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน
วัตถุดิบหลักของเนสท์เล่คือเมล็ดกาแฟและน้ำนมดิบ ซึ่ง นิภาวรรณ โดดเสนา นักวิชาการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เนสท์เล่มีการใช้เมล็ดกาแฟและน้ำนมดิบที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ 100% โดยความคืบหน้าของการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย
การจัดหาเมล็ดกาแฟ
• ดำเนินการฝึกอบรมด้านเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไปแล้วกว่า 2,000 ราย
• กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีไปสู่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟแล้วกว่า 4.7 ล้านต้น
• สนับสนุนการวิเคราะห์ดินอย่างต่อเนื่องแก่เกษตรกรจำนวน 3,800 ราย ตั้งแต่ปี 2012 เพื่อแนะนำการใช้ปุ๋ยที่ถูกต้องตามค่าของดิน
• ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟกับเกษตรกรไปแล้วกว่า 300 ราย เพื่อเสริมรายได้แก่เกษตรกร ซึ่งการเลี้ยงผึ้งในสวนเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าสวนนั้นไม่มีการใช้สารเคมี และผึ้งเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ทางชีวภาพ
• จัดหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตร (Farmer Business School) เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนและกำไร
• มีการรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
การจัดหาน้ำนมดิบ
• เนสท์เล่เป็นบริษัทแรกในไทยที่ส่งเสริมการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เพื่อจัดการฟาร์มโคนมอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพและปริมาณน้ำนมดิบ ปกป้องฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร โดยดำเนินงานใน 3 ด้านหลัก คือ การพัฒนาการจัดการอาหารและโภชนะ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน
• การนำหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูไปใช้ในฟาร์มโคนม สามารถลดคาร์บอนจากการทำฟาร์มโคนมได้มากกว่า 5,000 ตันในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2018 ที่เป็นปีฐานข้อมูล
• ในปี 2024 ได้ปริมาณน้ำนมดิบโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 กก. ต่อตัวต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศที่ 11 กก. ต่อตัวต่อวัน รวมทั้งคุณค่าทางโภชนาการในน้ำนมดิบดีขึ้น วัดได้จากระดับโปรตีนในนมที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 3%
• ให้ความรู้และเทคนิคด้านการเกษตรเชิงฟื้นฟูแก่เกษตรกรไปแล้วกว่า 160 ฟาร์มจาก 3 สหกรณ์ ในจังหวัดนครราชสีมา และมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้เริ่มทำการเกษตรเชิงฟื้นฟูครบวงจรแล้วกว่า 40 ฟาร์ม
• เนสท์เล่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจในการพัฒนาฟาร์มโคนมอย่างยั่งยืน กับสหกรณ์โคนม 3 แห่งในจังหวัดนครราชสีมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรว่าเนสท์เล่จะให้การสนับสนุนการบริหารฟาร์มตามแนวทางการเกษตรเชิงฟื้นฟู และการรับซื้อผลผลิตน้ำนมดิบอย่างต่อเนื่อง ในราคาที่เป็นธรรม
แผนงานต่อจากนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย จะเดินหน้าส่งเสริมการปลูกกาแฟและการเลี้ยงโคนมตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง และขยายพื้นที่การเพาะปลูกกาแฟโรบัสต้าสู่จังหวัดอื่น ๆ เช่น จังหวัดตากและจังหวัดเลย นอกจากนี้จะสนับสนุนเกษตรกรโคนมในการพัฒนาคุณภาพน้ำนมและลดต้นทุน ด้วยการจัดหาแหล่งหญ้าอาหารสัตว์มาป้อนฟาร์มโคนม พร้อมขยายการทำลานปูนสำหรับตากมูลโค และส่งเสริมการนำมูลโคบางส่วนไปเลี้ยงไส้เดือนเป็นปุ๋ยคุณภาพสูง สร้างรายได้ที่สูงขึ้นให้เกษตรกร
2. ดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน
ศุภวัฒน์ คามีเยาน์ ผู้จัดการด้านความยั่งยืนธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ในฐานะผู้ทำงานด้านนี้โดยตรง กล่าวว่า “น้ำ” คือ วัตถุดิบสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเนสท์เล่ ที่ผ่านมาเนสท์เล่มีการดำเนินโครงการเนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ เพื่อส่งเสริมแนวทางการฟื้นฟูน้ำที่ยั่งยืนครบวงจร ประกอบด้วย การเรียนรู้วิธีการอนุรักษ์ การป้องกันแหล่งน้ำ และการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีความคืบหน้าด้านการจัดการน้ำตามนี้
• โรงงานผลิตน้ำดื่มทั้ง 2 แห่งของเนสท์เล่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยาและสุราษฎร์ธานี จะสามารถชดเชยน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชน ในปริมาณเท่ากับที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจน้ำดื่มทั้งหมด 100% ภายในสิ้นปี 2025 นี้ คิดเป็นปริมาณมากกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร
• โครงการที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีการทำงานร่วมกับชุมชนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น โครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำ สร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการอนุรักษ์น้ำ โครงการตลาดนัดขยะชุมชน เปลี่ยนขยะเป็นรายได้ให้คนในชุมชน โครงการเนสท์เล่รักษ์ชุมชน ผักตบชวาสู่รายได้ ส่งเสริมให้เก็บผักตบชวาที่เป็นวัชพืชมาทำเป็นกระเป๋าจักสานสร้างรายได้เสริม โครงการเนสท์เล่รักษ์น้ำ คืนปลาสู่คลองขนมจีน จัดทำบ่ออนุบาลและปล่อยพันธุ์ปลาท้องถิ่นหายาก เพื่อสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และฟื้นฟูพันธุ์ปลาหายากคืนสู่คลองขนมจีน
• โครงการที่หนองทุ่งทอง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีและชุมชนในการกำจัดวัชพืช ลอกคลอง รวมไปถึงการซ่อมแซมประตูระบายน้ำ เพื่อให้น้ำระบายไปสู่ชุมชนชนในพื้นที่ได้มากขึ้น และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำทั้งในด้านอุปโภค บริโภค และการเกษตร นอกจากนี้ ยังมีการทำเขตห้ามล่าในหนองทุ่งทอง เพื่อให้ปลาสามารถวางไข่ได้ ช่วยให้ระบบนิเวศของหนองทุ่งทองสมบูรณ์มากขึ้น
• โรงงานผลิตน้ำดื่มของเนสท์เล่ยังได้รับมาตรฐานการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจาก Alliance for Water Stewardship (AWS) ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรด้านการจัดการและดูแลทรัพยากรน้ำระดับโลกอีกด้วย
สำหรับก้าวต่อไป เนสท์เล่จะเดินหน้าผลักดันการฟื้นฟูระบบนิเวศ และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับพื้นที่โดยรอบคลองขนมจีน จ.พระนครศรีอยุธยา และหนองทุ่งทองใน จ.สุราษฎร์ธานี และยกระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการพิทักษ์สายน้ำต่อไป
3. ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์
วันฉัตร ผลทวี ผู้จัดการฝ่ายบรรจุภัณฑ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้ฉายภาพความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ว่า เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อออกแบบให้บรรจุภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และเดินหน้าลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 โดยเนสท์เล่ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการดำเนินงาน 3 ด้านหลัก คือ
1) การลดใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic Reduction) ด้วยการเปลี่ยนไปใช้พลาสติกรีไซเคิล (rPET) ในขวดน้ำดื่มมิเนเร่และเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ รวมทั้งการใช้ฟิล์มหุ้มบรรจุภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากพลาสติกรีไซเคิล มีการใช้วัสดุทางเลือกอื่น ๆ ทดแทนการใช้พลาสติก อาทิ ซองกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์ด้านนอกของผลิตภัณฑ์เนสกาแฟโพรเทค โพรสลิม เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู สูตรน้ำตาลน้อย และสูตรไม่มีน้ำตาล
2) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้ (Designed for Recycling) เช่น ซองบรรจุภัณฑ์แบบ Mono Structure ที่ผลิตจากพลาสติกประเภทเดียวกัน และกระป๋องอะลูมิเนียม สำหรับเนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มรีไซเคิลได้ 100%
3) การส่งเสริมระบบการจัดการขยะเพื่อการรีไซเคิล (System for Recycling) ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ แคมเปญ “BOTTLE MADE FROM BOTTLES” จากมิเนเร่ โครงการ “Careton กล่องนมรักษ์โลก” จากไมโล รวมทั้งการเข้าร่วม “PRO-Thailand Network” เพื่อขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนตามหลัก EPR เพื่อผลักดันให้เกิดการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลหรือนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วนเพื่อส่งเสริมการจัดเก็บ คัดแยก และนำขยะเข้าสู่การรีไซเคิล เช่น การจัดโครงการตลาดนัดขยะชุมชน โดยร่วมมือกับวงษ์พาณิชย์ และโครงการจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วอย่างยั่งยืน โดยจับมือกับ เวสท์บาย เดลิเวอรี่ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ในขณะที่ผู้บริโภคก็ได้นำขยะมาขายแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
4. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กันต์ เขมาชีวะกุล ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในมิติด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ว่า
• โรงงานทั้ง 8 แห่งของเนสท์เล่ รวมทั้งศูนย์กระจายสินค้า ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมาจากการใช้พลังงานสะอาด 2 ส่วนคือ ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งในโรงงาน และ การได้ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC)
• การเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ปล่อยคาร์บอนต่ำ และใช้พลังงานน้อยลงในกระบวนการผลิต
• นำร่องการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า 100% และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบโลจิสติกส์ เช่น การขนส่งผลิตภัณฑ์คิทแคทและเนสท์เล่ ไอศกรีม แบบควบคุมอุณหภูมิ ระหว่างโรงงานผลิต ศูนย์กระจายสินค้า ไปจนถึงร้านค้าพันธมิตร ตลอดจนมีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ เพื่อลดระยะทางของการขนส่ง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นั่นทำให้ ณ ปัจจุบัน เนสท์เล่ ประเทศไทย สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% แล้ว เมื่อเทียบกับปี 2018
เปิดตัวแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” สร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยร่วมดูแลโลก
เจนิกา คอนเด ครูซ หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำรวจของ Kantar’s Sustainability Sector Index 2023 พบว่า คนไทยให้ความสำคัญกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตามด้วยการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และการบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ โดยผู้บริโภคไทย 76% ให้ความสนใจกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างระหว่างค่านิยมและการกระทำจริง แม้ว่าผู้บริโภค 91% อยากใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน แต่มีเพียง 42% ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจริงจัง เนื่องจากผู้บริโภคไม่ต้องการหรือไม่สามารถประนีประนอมเรื่องเวลา งบประมาณ รสชาติ คุณภาพ และความเพลิดเพลินจากผลิตภัณฑ์ ให้กับความยั่งยืนเพียงอย่างเดียวได้
นอกจาก 4 มิติข้างต้นในการบรรลุถึงเป้า Net Zero 2050 แล้ว เนสท์เล่ ประเทศไทย จึงเดินหน้าสานต่อแคมเปญ “เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
“นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างยั่งยืนแล้ว เนสท์เล่ยังให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการสานต่อแคมเปญการสื่อสารครบวงจร “ Every Little Act Matters เล็กน้อยเปลี่ยนโลกได้” เป็นปีที่ 4 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยทำสิ่งเล็กน้อย ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อการมีส่วนร่วมในการดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเพื่อโลกของเราอย่างต่อเนื่อง”
ซึ่งแนวคิดหลักของแคมเปญในปีนี้มาจากอินไซต์ผู้บริโภคที่พบว่าผู้บริโภคต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งยังสงสัยว่า คน ๆ เดียว หรือการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ จะมีความหมายหรือไม่ ดังนั้นเนสท์เล่จึงมุ่งทำให้ทุกคนมั่นใจว่า การทำสิ่งเล็กน้อยๆ ง่าย ๆ ในทุกวัน สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้ เมื่อทุกคนร่วมมือกัน โดยเนสท์เล่ จะลงทุนในการสื่อสารครบวงจรเพื่อให้เข้าถึงคนไทยมากกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ
ซึ่งนี่คือความคืบหน้าด้านความยั่งยืน ณ ปี 2025 ของเนสท์เล่ ประเทศไทย โดยแผนต่อจากนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย จะยังคงดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายต่อไปในปี 2030 ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 50% และก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050