แม้มีการรณรงค์ต่อต้าน แต่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมา ยังคงเติบโตทุกปี มูลค่าราว 3 แสนล้านบาท ซึ่งล่าสุดบริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด Kantar Worldpanel เปิดเผยรายงาน Thailand Alcoholic Beverage Market มีข้อมูลเปรียบเทียบผู้ซื้อกลุ่มต่างๆ พบว่า มีผู้ซื้อในครัวเรือนมากถึง 8.2 ล้านครัวเรือน
ที่สำคัญ จำนวนผู้ซื้ออาจลดลง แต่การบริโภคโดยรวมทั้งในบ้าน-นอกบ้าน ยังคงเพิ่มขึ้น และ “เบียร์” สามารถยืนหนึ่งครองส่วนแบ่งสูงสุด 70% ของมูลค่าการใช้จ่ายในตลาด คิดเป็นเม็ดเงินมากกว่า 2.5-2.6 แสนล้านบาท
ขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (RTD) เป็นหมวดหมู่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงที่มีสัดส่วนการซื้อกว่า 70% และกลุ่มคนรุ่นใหม่ในช่วงอายุ 20 ปี คิดเป็น 40% ของยอดขายหมวดนี้
ส่วนสุรา (Spirits) มีการเติบโตในบางประเภท เช่น บรั่นดีและโซจู แม้ภาพรวมตลาดหดตัว แต่บางแบรนด์ เช่น รีเจนซี่ สามารถดึงดูดผู้ซื้อใหม่ และบรั่นดีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลุ่มวิสกี้ (Whisky) จำนวนผู้ซื้อในครัวเรือนลดลง แม้การบริโภคนอกบ้านเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงเป็นหมวดที่เติบโตช้าที่สุดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเดียวกับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ 0% หรือเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์สุขภาพ แม้ในตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มเติบโต แต่ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักดื่มไทย ซึ่งการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวไทยมักชอบการปรับแต่งรสชาติ เช่น การผสมกับโซดาหรือน้ำอัดลม ซึ่งสะท้อนรสนิยมและความต้องการที่แตกต่าง
ชีวานนท์ ปิยะพิทักษ์สกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส Kantar Worldpanel ประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าวว่า สมรภูมิตลาดแอลกอฮอล์ นับตั้งแต่ปี 2566 มีผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ขนาดใหญ่ เช่น สิงห์ และ ช้าง ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ต้องเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาฐานผู้ซื้อ
นอกจากนั้น ความท้าทายในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยมีทั้งการแข่งขันระหว่างแบรนด์ใหญ่และแบรนด์ของผู้ผลิตรายเล็กที่สร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค เพราะตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ความนิยมในเบียร์ยี่ห้อเดิมๆ การเติบโตของหมวดหมู่ RTD Alcohol ที่ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ การปรับตัวของแบรนด์สุราที่หลากหลาย รวมถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ที่สะดวก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ หรือแม้แต่ตลาด 0% แอลกอฮอล์ อาจไม่เป็นที่นิยมมากในไทย แต่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ รวมถึงการส่งเสริมการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและกฎหมาย
แน่นอนว่า การที่ “เบียร์” ยึดครองส่วนแบ่งตลาดอย่างยาวนานทำให้การแข่งขันดุเดือดเลือดพล่าน เพื่อช่วงชิงเม็ดเงินจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตลาด “บุญรอดบริวเวอรี่” กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ และคาราบาวกรุ๊ป ซึ่งปีนี้ ไทยเบฟฯ เจ้าของแบรนด์ “ช้าง” ยืนยันเดินหน้าชิงที่ 1 โค่นคู่แข่งที่มีแบรนด์สิงห์และลีโอยึดกุมส่วนแบ่งมากสุด 62-63% ทิ้งห่าง “ช้าง” ซึ่งอยู่ที่ 32%
ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ “ช้าง” มั่นใจมากขึ้น แม้ส่วนแบ่งอาจแตกต่างกัน คือ ความนิยมในแบรนด์และนวัตกรรมใหม่ๆ สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลจาก นีลเส็นไอคิว (ประเทศไทย) ณ เดือนกันยายน 2567 (ข้อมูลเดือนตุลาคม 66 – กันยายน 67) ระบุชัดเจนว่า แบรนด์ช้างมีเทรนด์ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องและเป็นตัวผลักดันตลาด Mainstream ให้ฟื้นตัวกลับมากว่า 5% รวมถึงเร่งเจาะตลาดเบียร์พรีเมียม (Mass Premium) ซึ่งมีอัตราเติบโตกว่า 30% มูลค่ารวมมากกว่า 40,000 ล้านบาท ผ่าน “ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์” ซึ่งสามารถสร้างยอดขายพุ่งพรวดเกือบ 300%
ปัจจุบันเบียร์ช้างมีผลิตภัณฑ์ในตลาดเบียร์พรีเมียม 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ช้าง โคลด์ บรูว์ ช้าง เอสเปรสโซ่ และช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ ซึ่งช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัท ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ฉลองครบรอบ 2 ปี “ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์” หลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มนักดื่มไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเปิดตัวนวัตกรรมขวดอลูมินั่มฝาเกลียวเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกในการขนส่ง การกระจายสินค้า และการเก็บรักษาก่อนถึงมือผู้บริโภค
เหตุผล คือ การชูความเป็นยูนีกของ ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์ เบียร์ที่ไม่ผ่านความร้อนหลังบรรจุขวดและกระบวนการผลิตที่เติมไนโตรเจน (Nitrogenation) เพื่อให้อณูฟองละเอียดและนุ่ม ส่งตรงจากโรงเบียร์ด้วยระบบขนส่งเย็นด้วยอุณหภูมิไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส โดยจับมือกับ เซเว่น อีเลฟเว่น จัดระบบขนส่งแบบเย็นครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อคงรสชาติความสดใหม่และกลิ่นหอมของเบียร์ให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ ช้าง อันพาสเจอร์ไรซ์เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2565 นำร่องขายที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ก่อนขยายพื้นที่จำหน่ายในร้านอาหารและโรงแรมในเครือไทยเบฟทั่วกรุงเทพฯ จนมีการเปิดตัวรูปแบบขวดอลูมินั่มฝาเกลียว ขนาด 500 มล. ราคา 89 บาท ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ
ด้านกลุ่มคาราบาวกรุ๊ปก็เป็นอีกค่ายที่เร่งรุกตลาด หวังกินแชร์ทั้งของสิงห์และช้าง ตั้งแต่ประกาศเปิดตัวเบียร์ 2 แบรนด์เมื่อปี 2566 คือ คาราบาว และตะวันแดง พร้อมกัน 4 รสชาติ ประกอบด้วยแบรนด์ คาราบาว เปิดตัว 2 รสชาติ ได้แก่ Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์) และ Dunkel Beer (เบียร์ดุงเกล) ส่วนแบรนด์ตะวันแดง เปิดตัว 2 รสชาติ ได้แก่ Weizen Beer (เบียร์ไวเซ่น) Rose Beer (เบียร์โรเซ่)
ปี 2567 ติดเครื่องส่ง “ตะวันแดง IPA” (เบียร์ตะวันแดงไอพีเอ) เบียร์ตัวที่ 5 ที่ได้รับการขนานนามเป็น Creative Beer เพื่อเพิ่มทางเลือกให้คนไทยเข้าถึงเบียร์มาตรฐานระดับโลก พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยการเดินทางไปค้นคว้าและคัดสรรรสชาติของเบียร์ตะวันแดง IPA ถึงประเทศต้นกำเนิด “ประเทศอังกฤษ” นานเกือบปี จนได้เบียร์ตะวันแดง IPA ที่มีคุณภาพ และพัฒนามาเพื่อเมืองไทยโดยเฉพาะ ชูความเป็นแบรนด์ระดับโลก (World Class Product, World Class Brand)
จุดเด่นอยู่ที่กลิ่นหอมละมุนผสมผสานจากฮอปส์ 5 สายพันธุ์ ให้รสสัมผัสนุ่ม ลุ่มลึก และสดชื่น เหมาะกับเมืองร้อน พร้อมอาฟเตอร์เทสต์ขมชุ่มคอที่ลงตัว เน้นดื่มง่ายด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ 5.5%
จะว่าไปแล้ว กลุ่มคาราบาวมีช่องทางการจำหน่ายไม่แพ้เจ้าตลาด ทั้งร้านค้าในเครือข่ายอย่าง CJ MORE ที่มีมากกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ทั่วประเทศ มีหน่วยรถในศูนย์กระจายสินค้า 30 แห่งลุยร้านค้าปลีกและโมเดิร์นเทรดทุกแบรนด์ Lotus’s, GO Wholesale, กูร์เมต์ มาร์เก็ต, ท็อปส์, Lawson108, Foodland และ วิลล่า มาร์เก็ท รวมถึงผ่านช่องทาง On-premise ร้านอาหาร และเทรดดิชันนอลเทรด ตัวแทนจำหน่ายประจำพื้นที่ระดับอำเภอ ทุกอำเภอทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงโชห่วยทั่วประเทศ
นายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “กลุ่มคาราบาว” กล่าวว่า กลุ่มคาราบาวมีการลงทุนถึง 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่จังหวัดชัยนาท ด้วยเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานโลกจากเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด กำลังการผลิต 400 ล้านลิตร ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุด นับจากการลงทุนโรงสุราตะวันแดง 1999 เพื่อลุยเซกเมนต์อีโคโนมี และสแตนดาร์ด ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดเบียร์ถึง 95% ตั้งเป้าหมายตอบโจทย์ผู้บริโภคครอบคลุมในทุกกลุ่ม เพื่อขึ้นเป็นผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของตลาดเบียร์
สำหรับ “ไฮเนเก้น” อีกค่ายที่โลดแล่นอยู่ในตลาดไทยมาอย่างยาวนานในฐานะเบียร์พรีเมียมและช่วงหลังหันมารุกตลาด “0.0% แอลกอฮอล์” ไฮเนเก้นซีโร่ เบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ เกาะเทรนด์สุขภาพและหวังสร้างเครื่องดื่ม New Segment ตั้งแต่ปี 2562 โดยถือเป็นนวัตกรรมใหม่ทางเครื่องดื่มที่กลุ่มไฮเนเก้นเห็นเทรนด์ของผู้บริโภคกลุ่ม Healthy Balance Lifestyle หรือวิถีชีวิตบนความพอเหมาะพอควร ไม่มีแอลกอฮอลล์ ผลิตจากธรรมชาติ ไม่เติมน้ำตาล แคลอรีต่ำเพียง 69 แคลอรีต่อขวด แต่รักษาความเป็นเบียร์พรีเมียม กลิ่นและรสชาติแบบไฮเนเก้นไว้
อย่างที่ผลวิจัยระบุไว้ ตลาดส่วนนี้อาจยังไม่ใหญ่ แต่มีโอกาสเติบโตและได้ผลตอบรับดี ซึ่งในเวลาต่อมามีแบรนด์อื่นๆ ปล่อยเครื่องดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ เช่น Oettinger เบียร์สัญชาติเยอรมัน Bavaria เบียร์จากเนเธอร์แลนด์ มีทั้งแบบเบียร์ธรรมดาและเบียร์กลิ่นผลไม้ เลมอน สตรอเบอรี่ แอปเปิล และเบียร์เกาหลี Hite zero รสชาติเข้มข้นเหมือนดื่มเบียร์ทั่วไป แต่ไม่มีวันเมา.