ห้วงเวลาสำคัญของฤดูการท่องเที่ยวส่งท้ายปี กำลังขยับใกล้เข้ามาท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองและสถานการณ์ภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ยังปราศจากสัญญาณเชิงบวก ทำให้หลายฝ่ายต่างต้องเร่งประชาสัมพันธ์และออกมาตรการส่งเสริมการตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปีอย่างหนักหน่วง
การเปิดตัว “ไทยแลนด์ ครอสบอร์เดอร์ พริวิเลจ” (Thailand Cross Border Privileges) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และวีซ่า ประเทศไทย เมื่อไม่นานมานี้ ดูจะเป็นตัวอย่างและรูปธรรมของความพยายามรอบล่าสุดที่เห็นได้ชัดเจนในกรณีที่ว่านี้
ความร่วมมือดังกล่าวในด้านหนึ่งถือเป็นการต่อยอดโปรแกรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยภายใต้การประสานความร่วมมือระหว่าง ททท. และวีซ่า ซึ่งเป็นพันธมิตรกันมายาวนานกว่า 17 ปี โดยในทุกๆ ปี วีซ่าและ ททท. จะร่วมกันจัดสามแคมเปญใหญ่ ที่ประกอบส่วนด้วย ไทยแลนด์ สเปคทาคูลาร์ เยียร์ เอนด์ (พฤศจิกายน-มกราคม) ไทยแลนด์ สแปลช แอนด์ สไปซ์ (มีนาคม-พฤษภาคม) และ ไทยแลนด์แกรนด์เซลส์ (มิถุนายน-สิงหาคม)
สำหรับ “ไทยแลนด์ ครอสบอร์เดอร์ พริวิเลจ” (Thailand Cross Border Privileges) ซึ่งเปิดตัวมาเพิ่มใหม่นี้ถือเป็นแพลตฟอร์มส่งเสริมการท่องเที่ยวและโปรโมชั่นที่มอบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่มต้นการวางแผนการเดินทาง ตลอดจนการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบินไปจนถึงการชอปปิ้งของที่ระลึกในช่วงเทศกาลฉลองต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึงนี้
“จุดเด่นของการท่องเที่ยวในประเทศไทยคือมีแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ประสบการณ์ที่หลากหลาย สินค้าและบริการมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ การร่วมมือกับวีซ่านั้นช่วยให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลายได้ดีมากยิ่งขึ้น” ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุ
ขณะที่สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย เสริมว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันนิยมมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจมากขึ้น วีซ่าจึงทำงานร่วมกับ ททท. เพื่อยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในระหว่างการเดินทางไปยังจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรีตเมนต์ สปาสุดหรูเหนือระดับในเชียงใหม่ หรือจะเลือกรับประทานอาหารในภัตตาคารชั้นนำระดับโลกในกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ถือบัตรวีซ่าจะได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษเหล่านี้เพื่อทำให้แต่ละทริปน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
ไฮไลต์สำคัญในแพลตฟอร์มใหม่นี้ ประกอบด้วยส่วนลดพิเศษสำหรับการจองโรงแรมที่ร่วมรายการ ผ่าน Booking.com เมื่อจ่ายผ่านบัตรเครดิตวีซ่าตอนเช็กเอาต์ โปรโมชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อาทิ มวยไทยไลฟ์ และโรงละครสยามนิรมิต รวมไปถึงร้านอาหารและภัตตาคารที่ร่วมรายการอีกมากมาย โดยโปรโมชั่นทั้งหมดนี้เป็นสิทธิพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาจากแคมเปญ ไทยแลนด์ สเปคทาคูลาร์ เยียร์ เอนด์ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ดี รูปแบบของโปรโมชั่นพิเศษและหลากหลายแคมเปญ ดำเนินไปโดยมุ่งเน้นที่เป้าหมายในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูง ซึ่ง ไทยแลนด์ ครอสบอร์เดอร์ พริวิเลจ จะเน้นในเรื่องการมอบประสบการณ์เหนือระดับสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูง เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ถือบัตรวีซ่า
ทั้งนี้ จากผลสำรวจของวีซ่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงประจำปี 2558 (The Visa Asia Pacific Affluent Study 2015) ซึ่งจัดทำขึ้นโดย TNS ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2557 และมีผู้ทำแบบสอบถามทั้งแบบออนไลน์และสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว จำนวน 500 รายในประเทศ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ โดยกลุ่มผู้ทำแบบสอบถามมีอายุระหว่าง 18–55 ปี และมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 73,000 เหรียญสหรัฐต่อปี พบว่า กิจกรรมที่คนกลุ่มนี้นิยมทำเมื่อท่องเที่ยวมากที่สุด คือการพักผ่อนที่ชายทะเล (44 เปอร์เซ็นต์) ตามด้วยการชอปปิ้ง ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสถานที่แห่งนั้น (36 เปอร์เซ็นต์) การสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมด้วยตนเอง (35 เปอร์เซ็นต์) และการไปลิ้มลองอาหารในร้านอาหารที่นิยมประจำท้องถิ่น (27 เปอร์เซ็นต์)
“ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมายที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงได้ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่เป็นที่นิยม ภัตตาคารสุดหรูระดับโลก ตลอดจนหาดทรายสีขาวและรีสอร์ตสุดหรูบนเกาะ ตามผลสำรวจของวีซ่าที่จัดทำไว้ได้แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสอีกมากมายสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงเหล่านี้ต้องการจะเดินทางมาเยี่ยมชม” สุริพงษ์ระบุ
สำหรับการเลือกที่พักระหว่างเดินทางพบว่ากว่า 48 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงจะนิยมเลือกที่พักเหนือระดับ คือสี่ถึงห้าดาว ขณะที่อีก 39 เปอร์เซ็นต์เลือกพักในโรงแรมหรู และ 35 เปอร์เซ็นต์เลือกพักในโรงแรมระดับปานกลาง
ในผลสำรวจยังพบว่า 67 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวชาวจีน 53 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง และ 49 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์และญี่ปุ่น นิยมเลือกที่พักที่เหนือระดับกว่าโรงแรมทั่วไป (สี่ถึงห้าดาว) นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวชาวจีนอีกมากถึง 55 เปอร์เซ็นต์ นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียอีก 49 เปอร์เซ็นต์และนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงอีก 43 เปอร์เซ็นต์เลือกที่จะพักในโรงแรมหรู
นอกจากนี้ ยังพบว่า โรงแรมแบบบูทีคได้รับความนิยมจากนักท่องที่ยวชาวออสเตรเลียเป็นพิเศษ โดยนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียกว่า 49 เปอร์เซ็นต์เลือกพักในโรงแรมแบบบูทีค ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงและจีน กลุ่มละ 24 เปอร์เซ็นต์ และนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ 23 เปอร์เซ็นต์
ตัวเลขจากการสำรวจเหล่านี้แม้จะไม่สามารถเป็นตัวแทนหรือบ่งชี้ทิศทางและแนวโน้มในอนาคตการท่องเที่ยวไทยได้อย่างครบถ้วนรอบด้าน แต่ในด้านหนึ่งอาจสะท้อนความเป็นไปในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย เพื่อจัดวางกลยุทธ์และยุทธศาสตร์การพัฒนาได้พอสมควร
ความพยายามที่จะกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ขาดปัจจัยบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากกำลังซื้อภายในประเทศเช่นว่านี้ น่าจะเป็นภาพสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกและข้อเท็จจริงของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมได้ดีพอสมควร
และบางทีมาตรการเหล่านี้ อาจช่วยย้ำเตือนเป็นการบ่งชี้ข้อเท็จจริงไม่ให้ใครหลงเชื่อคำกล่าวเลื่อนลอยที่ว่าด้วยการปิดประเทศ ขังตัวเองอยู่ในเงามืด เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอย่างที่มีการกล่าวถึงในช่วงก่อนหน้าว่าจะสามารถกระทำให้เกิดขึ้นจริงได้