สถานการณ์ค่าเงินเยนอ่อนลง ส่งผลในหลายมิติ ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติบนดินแดนอาทิตย์อุทัย
ในแต่ละปีประเทศญี่ปุ่นนับเป็นจุดหมายปลายทางของตลาดนักท่องเที่ยวไทย คาดการณ์กันว่าปี 2566 ตลาดคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นจะกลับมาแบบ 100% หรือประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งเทียบเท่ากับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด ขณะที่ไตรมาสแรกพบว่า นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าญี่ปุ่นแล้วประมาณ 497,000 ราย และคนญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยประมาณ 326,347 ราย
นอกจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตลาดอสังหาฯ ญี่ปุ่นจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีโอกาสฟื้นตัวสูงขึ้นเนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าลง เห็นได้จากที่มีการลงทุนสูงถึง 1.1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 เติบโตขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยด้านค่าเงินส่งผลดีต่อนักลงทุนต่างชาติ เช่นที่ บริษัท ดับเบิ้ล ดราก้อน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตัดสินใจซื้อที่ดินทำเลสวยนิเซโกะ-ฮอกไกโด ปักหมุดโครงการ Hotel101 โดยมีตลาดหลักเป็นกลุ่มนักลงทุน นักท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ นิเซโกะแม้จะเป็นเพียงเมืองเล็กๆ แต่มีความโดดเด่นด้านทัศนียภาพ และการเป็นเมืองสกี รีสอร์ต ที่สามารถเปิดได้ตลอดทั้งปี จึงเริ่มเห็นสัญญาณดีมานด์จากชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยว และมีการลงทุนเพิ่มขึ้น
บริษัท ดับเบิล ดราก้อน คอร์ปอเรชั่น ภายใต้การนำของ แฮนน่า ยูโล-ลูซินี่ ประธานกรรมการบริหาร Hotel101 นิเซโกะ-ฮอกไกโด เปิดเผยลักษณะของโครงการว่า “Hotel101 เป็นโครงการแบบ Condotel มูลค่าโครงการกว่า 4,600 ล้านบาท ภายใต้แนวคิดการออกแบบในสไตล์ Modern Japanese-style ซึ่งการเสนอขายห้องพักแบบที่ผู้ซื้อสามารถซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สิน หรือการซื้อแบบร่วมลงทุน ซึ่งรูปแบบดังกล่าวจะตอบโจทย์การลงทุนทรัพย์สินในต่างประเทศได้
“ในช่วงนี้ค่าเงินเยนอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินบาท ถือเป็นการอ่อนค่าลงอย่างมากในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และการซื้อเพื่อถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยาก หรือเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะญี่ปุ่นมีระบบการกำกับดูแลกฎหมายค่อนข้างดี ซึ่งเอื้อต่อการลงทุน
นอกจากนี้ หากพิจารณาเรื่องเสถียรภาพทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจค่อนข้างมีความมั่นคง และหากมีการลงทุนจากผู้ซื้อไทย และต้องการส่งเงินกลับมาไทยไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก” แฮนน่า ยูโล-ลูซินี่ อธิบาย
ขณะที่การลงทุนใน Hotel101 บริษัทเสนอการดูแลการบริหารงานทั้งหมด ในสัดส่วน 70 ต่อ 30 โดยแบ่งเป็นผลตอบแทนสำหรับเจ้าของสัดส่วน 30% (ก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษี) และ Hotel101 สัดส่วน 70% โรงแรมจะรับผิดชอบในส่วนของค่าบริหารงาน การซ่อมบำรุงภายในห้องชุดและการรีโนเวต โดยเจ้าของสามารถเข้าพักฟรี 10 คืนต่อปี แบ่งเป็น 5 คืนใน Hotel101-นิเซโกะ และอีก 5 คืนในโรงแรมในเครือ Hotel101 ทั่วโลก
ปัจจุบันกลุ่ม Hotel101 มีห้องพักในเครือกว่า 2,001 ห้องที่ได้เปิดใช้บริการ และมีห้องพักอีก 6,013 ห้องทั่วโลกที่รอเปิดใช้บริการ
นอกจากดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่ายและการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าแล้ว การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครันเพื่อให้เทียบเท่าโรงแรมระดับ 5 ดาว กับจำนวนห้องพักที่มีมากถึง 500 ห้อง น่าจะเป็นสิ่งจูงใจให้เกิดการเข้าพักในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อเจ้าของโครงการและนักลงทุน
แม้ว่าตลาดไทยจะเป็นตลาดหลักของโครงการ Hotel101 แล้ว นักลงทุนในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และอเมริกา คือเป้าหมายที่จะนำเสนอโครงการนี้เช่นกัน
ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ราคาของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะ Condotel มีอัตราการขยายตัวสูงถึง 4 เท่า เป็นภาพสะท้อนการเติบโตที่ค่อนข้างชัดเจนสำหรับเมืองเล็กๆ ขณะที่ในอนาคต 7 ปีข้างหน้ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกจากโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2030 ทำให้สามารถเดินทางจากโตเกียวมายังนิเซโกะได้โดยตรง และหากเดินทางจากซัปโปโร 2 ชั่วโมงจะเหลือเพียง 25 นาที
แนวโน้มสำหรับเทรนด์ในตลาดอสังหาฯ ปีหน้า มี 3 ประเด็นหลักๆ คือ 1. นักลงทุนที่เข้ามาเป็นกลุ่มที่มีทุนทรัพย์สูง มีกองทุนและสถาบันการเงินที่ให้ความสนใจ 2. ผู้พัฒนาอสังหาฯ ขนาดใหญ่ที่มองหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโรงแรม รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยที่อาจเป็นโปรเจกต์ในอนาคต และ 3. อาจได้เห็นการเข้ามาของเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก
“การลงทุนใน นิเซโกะ-ฮอกไกโด ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านไลฟ์สไตล์ของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกิจกรรม Outdoor เช่นการเล่นสกี และคุณภาพหิมะที่ถือว่าดีที่สุดในโลก การที่เงินเยนอ่อนค่าลงจึงเป็นโอกาสสำคัญของการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะนักลงทุนจะได้ทรัพย์ในราคาที่ถูก ก่อนที่เงินเยนจะกลับมาสู่ค่าปกติ และเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินไทย Condotel ใน Hotel101 จะมีราคาประมาณ 9 ล้านบาท ซึ่งหากมองโอกาสการเติบโตและผลตอบแทนในอนาคตย่อมมีทิศทางที่ดี” แฮนน่า ยูโล-ลูซินี่ ทิ้งท้าย.