วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > แฟนๆ เตรียมควักกระเป๋า เมื่อ POP MART อาร์ตทอยส์สุดฮิต เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในไทย

แฟนๆ เตรียมควักกระเป๋า เมื่อ POP MART อาร์ตทอยส์สุดฮิต เปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในไทย

สิ้นสุดการรอคอย เมื่อ “ป๊อปมาร์ท” (POP MART) แบรนด์อาร์ตทอยส์สุดฮิต ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักสะสมของเล่น เปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ปักหมุดห้างใหญ่ใจกลางเมืองอย่าง “เซ็นทรัลเวิลด์” และที่สำคัญยังมาพร้อมคอลเล็กชั่นพิเศษที่มีเฉพาะในไทย

“ป๊อปมาร์ท” (POP MART) ถือเป็นผู้นำตลาดธุรกิจอาร์ตทอยส์จากคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่มาในรูปแบบของกล่องสุ่ม หรือ Blind Boxes ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักสะสมของเล่น ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดอาร์ตทอยส์ (Art Toys) เบอร์หนึ่งของโลก ด้วยการสร้างเทรนด์นิยมในสไตล์ป๊อปคัลเจอร์ (POP Culture) ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะผ่านการผนึกพลังไอเดียการออกแบบฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนที่เป็นของเล่นและของสะสมร่วมกับศิลปินและนักออกแบบจากทั่วโลกกว่า 350 คน เดินหน้าขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมความแข็งแร่งให้กับบริษัทฯ ด้วยการเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในประเทศไทย

ป๊อปมาร์ท เปิดตัวครั้งแรกในประเทศจีน เมื่อปี 2010 ก่อนที่จะขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตามกระแสความนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดกับการเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในประเทศไทย ณ ห้างใหญ่ใจกลางเมืองอย่าง “เซ็นทรัลเวิลด์” ด้วยพื้นที่กว่า 169 ตารางเมตร ซึ่งแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้เป็นการร่วมทุนกันระหว่างป๊อปมาร์ทและไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ (Minor Lifestyle) โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการขยายตลาดในประเทศไทย

คีย์แมนคนสำคัญของป๊อปมาร์ท อย่าง มร.จัสติน มูน ประธาน ป๊อปมาร์ท อินเตอร์เนชันแนล เปิดเผยว่า ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อสูงและตลาดมีขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเปิดกว้างในการรับวัฒนธรรมและสินค้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการขยายตลาด นั่นทำให้ป๊อปมาร์ทได้ทำการขยายสาขาเข้าสู่ประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียไปแล้วก่อนหน้านี้ และล่าสุดกับการเปิดสาขาในไทย ซึ่งถือเป็นสาขาแรกของป๊อปมาร์ท

ซึ่ง มร.จัสติน เปิดเผยต่อว่า ปัจจุบันคนไทยให้ความสนใจกระแสป๊อปคัลเจอร์เพิ่มมากขึ้น และหนึ่งในกระแสยอดนิยมก็คือ “อาร์ตทอยส์ในรูปแบบกล่องสุ่ม” ที่สร้างความตื่นเต้นและลุ้นทุกครั้งว่าเมื่อเปิดกล่องออกมาจะได้อาร์ตทอยส์รูปแบบใด ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของอาร์ตทอยส์แบบกล่องสุ่มในฐานะสินค้าป๊อปคัลเจอร์ที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ

อีกทั้งตลาดอาร์ตทอยส์ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จากตัวเลขการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของป๊อปมาร์ทผ่านช่องทางออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ป๊อปมาร์ทเลือกที่จะมาเปิดสาขาในไทย ซึ่งป๊อปมาร์ทไม่ได้โฟกัสแค่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยด้วยเช่นกัน

โดยป๊อปมาร์ท แฟลกชิปสโตร์ แห่งแรกในประเทศไทย เปิดตัวในวันที่ 20 กันยายน 2566 ทำเลที่ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ มีพื้นที่รวมกว่า 169 ตารางเมตร ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความตื่นเต้นเต็มรูปแบบผ่านโซนต่างๆ ที่จัดแบ่งไว้หลากหลาย เช่น

* คอลเลกชันกล่องสุ่ม (Blind Box Collections) คอลเลกชันที่หายากที่สุดและเป็นที่ต้องการของแฟนๆ พันธุ์แท้

* คอลเลกชันสุดพิเศษ SKULLPANDA Hoar Frost Thailand Limited Edition ที่มีเพียง 140 ชิ้นเท่านั้น และมีเฉพาะที่แฟลกชิปสโตร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ประเทศไทย

* คอลเลกชันเฉพาะช่วงเปิดร้าน ได้แก่ SKULLPANDA Dark Maid Figurine, Labubu Diver’s Manual, Labubu Shepherd Figurine, Hirono Unknown journey

* คอลเลกชัน MEGA ได้แก่ MEGA SPACE MOLLY 400% & 1000%

* คอลเลกชันอื่นๆ เช่น POP BEAN, Big Figure และ Inner Flow Collection

ป๊อปมาร์ทวางโพซิชันตัวเองให้เป็นเสมือนห้องจัดแสดงผลงานศิลปะที่รวมผลงานด้านการออกแบบอันเกิดจากแรงบันดาลใจที่สะท้อนแนวคิด และบริบททางสังคมในแง่มุมต่างๆ ผ่านผลงานของเหล่าศิลปินและนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลก โดยในแต่ละปี ป๊อปมาร์ทได้สร้างสรรค์ตัวการ์ตูนออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเฟ้นหาศิลปินและนักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพื่อนำเสนอผลงานใหม่ๆ และสร้างสีสันให้แก่โลกของอาร์ตทอยส์

“ป๊อปมาร์ทให้ความสำคัญในการเฟ้นหาศิลปินและนักออกแบบผ่านเวที Largest Art Toys Show in ASIA ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง และล่าสุดที่จัดในประเทศสิงคโปร์ และยังมีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มในการแสดงวิสัยทัศน์และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับกระแสป๊อปคัลเจอร์ และสร้างสรรค์อาร์ตทอยส์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีเวทีในการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งร่วมในงานแข่งขันการออกแบบกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนศิลปินของป๊อปมาร์ท ไม่ว่าจะเป็น เคนนี หว่อง ผู้สร้างสรรค์ Molly, มอลลี นิสา ศรีคำดี ผู้สร้างสรรค์ CryBaby และ SKULLPANDA ผู้สร้างสรรค์ SKULLPANDA” มร. จัสติน กล่าวเสริม

Iconic Crossovers กลยุทธ์เพิ่มเสน่ห์ของป๊อปมาร์ท

การสร้าง Iconic Crossovers หรือการร่วมออกแบบกับสตูดิโอและแบรนด์ระดับโลก คือกลยุทธ์ที่ป๊อปมาร์ทนำมาใช้เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้แก่ผลงานอาร์ตทอยส์ เช่นผลงานที่ผ่านมา อย่าง  Molly X Snoopy, Labubu X Spongebob, Inner Flow, Silent Trick, Gone ที่ช่วยสร้างความตื่นเต้นและมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้บริโภคอยู่เสมอ

อีกทั้งยังได้เสนอทางเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้บริโภคด้วยการนำเสนออาร์ตทอยส์ 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดปกติ (Regular), ขนาดใหญ่ (Big) และขนาดใหญ่พิเศษ (MEGA) และสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ขนาดใหญ่พิเศษได้รับความนิยมสูงสุดแม้จะมีราคาสูงที่สุดก็ตาม เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ที่ชอบสะสม โดยเฉพาะรุ่น MEGA SPAGE MOLLY ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่และมีส่วนช่วยขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ป๊อปมาร์ทยังได้เปิดเผยถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจทั่วโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ว่า จากกระแสนิยมอาร์ตทอยส์ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้ป๊อปมาร์ทสามารถสร้างรายได้รวมถึง 2,814 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 19.3% กำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 535 ล้านหยวน หรือคิดเป็น 42.3% ในขณะที่ภาพรวมของธุรกิจอาร์ตทอยส์มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท

ใน่ส่วนของรายได้ในต่างประเทศ ป๊อปมาร์ทมีรายได้จากตลาดต่างประเทศ 376 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นถึง 139.8% กำไรจากการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าเป้าหมาย โดยสามารถทำกำไรได้สูงถึง 78.89 ล้านหยวน (CNY) มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 183% เมื่อเทียบเป็นรายปี มีสาขาอยู่ในจีน 400 สาขา ในต่างประเทศ 60 สาขา และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีการขยายตู้ขายอัตโนมัติเพิ่มสูงถึง 2,328 ตู้ และขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในธุรกิจอาร์ตทอยส์

ปัจจัยแห่งความสำเร็จดังกล่าว มร.จัสติน เปิดเผยว่า มาจาก

– ป๊อปมาร์ทเปิดตัวที่แรกในจีนซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับฐานลูกค้าจำนวนมาก และเป็นตลาดใหญ่ของโลก

– ป๊อปมาร์ทมีโรงงานผลิตของตนเองและมีโครงสร้างการบริหารการผลิตที่มีมาตรฐานสามารถผลิตสินค้าได้ตรงและทันกับความต้องการของลูกค้า และใส่ใจในการผลิตสินค้าทุกชิ้น

– อาร์ตทอยส์กลายมาเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบัน ที่ไม่ได้เป็นแค่ของเล่น แต่เป็นงานศิลปะ ซึ่งเป็นปัจจัยในการเติบโตของธุรกิจได้อย่างดี

นอกจากแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกแล้ว ป๊อปมาร์ทคาดว่าจะเปิดสาขาที่ 2 ภายในช่วงปลายปีนี้ อีกทั้งยังวางแผนเปิดร้านค้าปลีกและร้านป๊อปอัพมากถึง 20 แห่ง พร้อมด้วยตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ (POP MART ROBOSHOP) ประมาณ 50 ตู้ทั่วประเทศไทย

“ในอนาคต ป๊อปมาร์ทอาจเป็นมากกว่าอาร์ตทอยส์ โดยเราจะนำพื้นฐานความสำเร็จที่เริ่มต้นจากความสนุก ตื่นเต้น และความประหลาดใจมาเป็นตัวเชื่อมสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่เน้นสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้บริโภค อาทิ สวนสนุก เกม หรือแม้แต่แอนิเมชัน” มร. จัสติน กล่าวถึงแผนในอนาคต

สำหรับศิลปินและนักออกแบบชาวไทยที่สนใจร่วมออกแบบกับทางป๊อปมาร์ทสามารถติดต่อกับทีมงานป๊อปมาร์ทไทยได้โดยตรงเพื่อนำเสนอผลงาน ไม่แน่ว่าอนาคตเราอาจได้เห็นผลงานของศิลปินชาวไทยกระจายอยู่ตามร้านของป๊อปมาร์ทที่มีอยู่ทั่วโลกก็เป็นได้