เรื่องของ ESG หรือ แนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance) กำลังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมาตลอดช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา และเป็นสิ่งที่หลายๆ องค์กรต่างบรรจุไว้ในแผนการพัฒนาธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน
ซึ่งนั่นรวมถึง “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่นำแนวคิด ESG มาเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนองค์กรและพัฒนาโครงการ จนสามารถคว้ารางวัลระดับ 5 ดาว จากการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors : IOD) ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ด้วยเช่นกัน
“ผู้จัดการ 360 องศา” พาไปเจาะลึกมุมมองของลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กับการใช้แนวคิด ESG มาพัฒนาโครงการ เพื่อสร้างมาตรฐานการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงานให้เกิดขึ้นจริงอย่างยั่งยืน สู่การเป็น “Lalin Smart Eco Living” ที่สะท้อนความเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด ESG กับ “ชูรัชฏ์ ชาครกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
สำหรับลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2531 ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรรพร้อมที่ดินเพื่อขาย ภายใต้ชื่อโครงการบ้านลลิล, บ้านลลิล The Prestige, ลลิล กรีนวิลล์, Lanceo, และ Lio โดยมีราคาขายอยู่ในช่วง 2-9 ล้านบาท
คอนเซ็ปต์ของลลิลคือการเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ขาย “Quality of Living” ใส่ใจในคุณภาพความเป็นอยู่ของลูกค้า โดยมีจุดเด่นในเรื่องดีไซน์และความคุ้มค่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทใช้คอนเซ็ปต์ “Quality of Living” เป็นเรือธงในการพัฒนาโครงการมาโดยตลอด แล้วค่อยนำเอาองค์ประกอบหรือเทรนด์ในแต่ละช่วงเวลามาปรับเพิ่มเข้าไป และเมื่อเทรนด์ของ ESG เริ่มเข้ามามีบทบาท บริษัทฯ จึงนำแนวคิดดังกล่าวมาเป็นอีกหนึ่งแกนหลักในการพัฒนาโครงการและดำเนินธุรกิจ
“ลลิลนำแนวคิด ESG มาใช้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ทั้งการพัฒนาภายในองค์กร ปลูกฝังพนักงาน ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก่อนอื่นเราปลูกฝังพนักงานทุกคนของลลิลกว่า 600 คน ว่านี่คือสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญและเป็นเป้าหมายขององค์กรเพื่อให้มองไปในทิศทางเดียวกัน เพราะพนักงานทุกคนเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ขององค์กรที่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่คาดหวังร่วมกันออกไปได้”
การนำแนวคิด ESG มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของลลิลนั้น เริ่มตั้งแต่การวาง Master Plan การวางคอนเซ็ปต์ของโครงการ การเลือกวัสดุที่นำมาใช้ในโครงการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ตลอดจนมีการนำนวัตกรรมในการประหยัดพลังงานต่างๆ มาใช้ เพื่อสร้างมาตรฐานการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Lalin Smart Eco Living ซึ่งครอบคลุม 4 แนวคิดหลัก ได้แก่
- Sustainable Living การอยู่อาศัยที่เน้นการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน มีการสร้างบ้านให้เหมาะสมกับพื้นที่และสิ่งแวดล้อมรอบตัว ตั้งแต่การวางตำแหน่งบ้านที่สอดรับกับทิศทางลมและช่องแสงธรรมชาติเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยบ้านในทุกโครงการของลลิลจะหันหน้าไปทางทิศเหนือและใต้เสมอ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศมรสุม หน้าหนาวรับลมทิศเหนือ หน้าร้อนรับลมทิศใต้ การวางตำแหน่งบ้านดังกล่าวทำให้สามารถรับลมได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ ยังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นฉลากเขียวเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่กระบวนการผลิตมีส่วนช่วยในการลดโลกร้อน ลดการใช้พลังงานต่างๆ เช่น หลอดไฟ LED กระจกเขียวตัดแสงลดความร้อน และใช้วัสดุทดแทนวัสดุธรรมชาติ
ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางมีการใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์มาให้แสงสว่างในพื้นที่ส่วนกลาง และนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ในการดูแลสวนส่วนกลาง เพื่อลดการใช้พลังงานด้วยเช่นกัน
- Healthy Living การออกแบบบ้านเพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่ดี ด้วยการนำนวัตกรรมที่ช่วยระบายอากาศเข้ามาใช้ให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัย มีการเลือกวัสดุตกแต่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขภาพต่างๆ เข้ามาใช้ในโครงการ เช่น สุขภัณฑ์ที่มีฉลากเขียว เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยช่วยป้องกันไวรัสและแบคทีเรีย เป็นต้น
- Multifunctional Living การออกแบบบ้านที่เน้นความยืดหยุ่นในการใช้งาน สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันให้เป็นห้องอเนกประสงค์ เพื่อรองรับกับชีวิตวิถีใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เช่น ห้องทำงาน, ห้องเรียนออนไลน์, ห้องไลฟ์ขายออนไลน์, ห้องผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัยในอนาคต
- Smart Living นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ผู้พักอยู่อาศัย รองรับเทรนด์ประหยัดพลังงาน มีการเตรียมจุดเชื่อมต่ออุปกรณ์ EV Charger เดินจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อสะดวกในการเชื่อมต่อ รวมถึงกล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ
นอกจากนั้น ลลิลยังมีการปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกเนื้องานของทั้งองค์กร ไม่ใช่เพียงแค่การทำ CSR เพียงอย่างเดียว การพัฒนาโครงการต่างๆ ต้องคำนึงถึงสังคมแวดล้อมและเพื่อนบ้านเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร
ชูรัชฏ์เปิดเผยต่อว่า เมื่อก่อนผู้บริโภคอาจไม่ค่อยได้คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และนวัตกรรมใหม่ๆ มากนัก แต่เมื่อบริบทเปลี่ยน ประเด็นพลังงานและสิ่งแวดล้อมกลายเป็นโจทย์ที่ผู้บริโภคต้องคำนึงถึง นั่นทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น และกลายเป็นสิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคราวๆ 20-30% เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหน้าที่ของลลิลคือการเตรียมความพร้อมเพื่อตอบโจทย์และรองรับเทรนด์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น
“บริษัทมีแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่ง ทีมเซลส์และทีมมาร์เกตติ้งจะทำหน้าที่สะท้อนเสียงและความต้องการของลูกค้าขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งข้อมูลนี้จะถ่ายทอดไปที่ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ เขาจะฟังแล้วมาปรับใช้ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของลลิลตลอดช่วงที่ผ่านมา ในไส้ในจะมีการปรับและพัฒนาให้ดีขึ้นตลอดเวลา”
แต่สิ่งที่เป็นคำถามตามมาคือวัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติตลอดจนนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ลลิลนำมาใช้ในโครงการนั้นมีผลต่อต้นทุนราคาบ้านหรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้มาพร้อมกับราคาที่เพิ่มขึ้น
ในประเด็นนี้ชูรัชฏ์อธิบายว่า ลลิลมีการใช้ความรู้เชิงวิศวกรรมมาจัดการต้นทุน โดยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เป็นของตนเอง มีการจัดประกวดนวัตกรรมทุกไตรมาส เพื่อนำนวัตกรรมที่คิดได้มาปรับใช้ในองค์กร นอกจากนี้ ยังมีการลดของเสียที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการผลิต และใช้การบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ มาช่วย เพื่อทำให้ยังรักษาราคาบ้านที่ลูกค้าจ่ายไหว และยังถูกกว่าคู่แข่ง
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือในขณะที่หลายๆ บริษัทหันมาปักธงเรื่อง ESG ลลิลเองจะทำอย่างไรให้โดดเด่นและสามารถแข่งขันในตลาดได้
“เรื่องของ ESG เราต้องทำจริงไม่ใช่ทำเพื่อภาพลักษณ์ และไม่ได้ทำเพื่อการตลาด แต่ทำเพื่อความยั่งยืน และที่สำคัญต้องปลูกฝังให้พนักงานทุกคนช่วยกันทำ เพราะเรื่องพวกนี้ต้องเกิดจากทุกคนช่วยกัน มันถึงจะสัมฤทธิ์ผล” ชูรัชฏ์กล่าวทิ้งท้าย.