วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > เปิดกลยุทธ์ “สิงห์ เอสเตท” อสังหาฯ ระดับลักชัวรีแห่งค่ายบุญรอด

เปิดกลยุทธ์ “สิงห์ เอสเตท” อสังหาฯ ระดับลักชัวรีแห่งค่ายบุญรอด

ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ชื่อของ “สิงห์ เอสเตท” ถือเป็นอีกหนึ่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สร้างสีสันให้กับวงการ ด้วยการเปิดตัวโครงการระดับลักชัวรีที่ยึดครองทำเลทองของเมืองอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสิงห์ เอสเตท เขย่าวงการอีกครั้งด้วยการประกาศสร้างแฟล็กชิปแห่งที่ 2 ด้วยโครงการบ้านหรูระดับอัลตราลักชัวรีที่ราคาแตะ 550 ล้านบาทต่อหลัง พร้อมเผยกลยุทธ์สู่การสร้างกำไรแบบ All-time High

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือของบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตเบียร์รายแรกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และถ้าย้อนกลับไป บุญรอด บริวเวอรี่ เริ่มต้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรกภายใต้ชื่อบริษัท พาณิชย์ภูมิพัฒนา จำกัด ตั้งแต่ปี 2538 เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรรและอาคารชุดพักอาศัยเป็นหลัก ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

กระทั่งวันที่ 12 กันยายน 2557 บริษัทฯ ได้รับโอนหุ้นสามัญของ บริษัท สันติบุรี จำกัด จาก “สันติ ภิรมย์ภักดี” และหุ้นสามัญของบริษัท เอส ไบรท์ฟิวเจอร์ จำกัด จาก บริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด และในวันเดียวกันนั้นเอง บริษัทฯ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)

ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นการขยายธุรกิจและลงทุนผ่านการซื้อที่ดินในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจหลักในมือ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย, ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประกอบด้วยศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานให้เช่าในทำเลต่างๆ ได้แก่ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการมิกซ์ ยูส ระดับลักชัวรี ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองด้านมุมถนนอโศกมนตรีและเพชรบุรีตัดใหม่ เป็นอาคารสูง 42 ชั้น, ซันทาวเวอร์ส อาคารสำนักงานบนถนนวิภาวดี-รังสิต

โครงการเอส เมโทร อาคารสำนักงานเกรดเอ อยู่ห่างจากบีทีเอสสถานีพร้อมพงษ์ไม่ถึง 200 เมตร มูลค่าโครงการกว่า 1,725 ล้านบาท, โครงการเดอะ ไลท์เฮ้าส์ ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ที่ตั้งอยู่ในย่านเจริญนคร และล่าสุดกับโครงการ “เอส โอเอซิส” (S-Oasis) อาคารสำนักงาน ถนนวิภาวดี-รังสิต บนพื้นที่ขนาด 7 ไร่ และพื้นที่ให้เช่าประมาณ 54,000 ตารางเมตร

ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย สิงห์ เอสเตทมีการพัฒนาที่พักอาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบหลากหลายรูปแบบ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม The ESSE (สิงห์ คอมเพล็กซ์, สุขุวิท 36 และอโศก), The Extro (พญาไท-รางน้ำ, โฮม ออฟฟิศ Sentre, สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultra-Luxury ราคาขายตั้งแต่ 150 ล้านบาทขึ้นไป และปิดการขายไปเรียบร้อยแล้ว, ‘ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32’ บ้านแนวราบระดับ Super Luxury มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท ซึ่งจัดงานเปิดตัวไปเมื่อ 26 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา จากข้อมูลล่าสุดมียอดจองไปแล้ว 95% รวมถึงยอดโอนในปีที่แล้วกว่า 830 ล้านบาท

มาต่อที่ธุรกิจโรงแรมที่ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสิงห์ เอสเตท โดยธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัทฯ อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของสิงห์ เอสเตท

ปัจจุบัน SHR มีรีสอร์ตและโรงแรมกระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สหราชอาณาจักร สาธารณรัฐมอริเชียส สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ รวมทั้งสิ้น 38 แห่ง ภายใต้แบรนด์ สันติบุรี, เนเบอร์, Outrigger, Castaway, Hard Rock, SAii, Holiday Inn, Mercure โดยโรงแรมล่าสุดที่จะเปิดปลายปีนี้คือ SO/ Maldives มีห้องพักทั้งหมด 4,552 ห้อง

สำหรับธุรกิจสุดท้ายคือธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นน้องใหม่ในพอร์ต ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของ S.IF. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่หนึ่งโครงการได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง พื้นที่โครงการประมาณ 1,790 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปี 2566

และถ้าย้อนกลับไปอีกครั้ง ปี 2564 บริษัทฯ มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ นั่นคือมีการปรับโครงสร้างที่สำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ 1. จำหน่ายหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 52 ในบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ออกไปในเดือนมกราคมปี 2564 เพื่อปลดล็อกให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาโครงการแนวราบด้วยตนเองโดยไม่มีข้อจำกัด ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญ และเป็นการต่อยอดความสำเร็จหลังจากปิดการขายโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultra-Luxury ที่มีมูลค่าต่อยูนิตสูงถึงระดับ 250 ล้านบาท

2. ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 100% ในโรงแรม 26 แห่งในสหราชอาณาจักร เนื่องจากบริษัทฯ คาดการณ์ว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของสหราชอาณาจักรหลังโควิด-19 จะโดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่น

ด้วยกลยุทธ์ในการสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และเน้นการกระจายการทำธุรกิจในหลายๆ ภูมิภาคทั้งในและต่างประเทศ ทำให้สิงห์ เอสเตท สร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้พุ่งสูงถึง 12,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 62%

“ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ขยายความถึงความสำเร็จของปีที่ผ่านมาว่า “ปี 2564 ก่อนที่จะปรับโครงสร้าง รายได้รวมของเราอยู่ที่ 12,200 กว่าล้านบาท ปี 2565 เราจบด้วยตัวเลข 12,530 ล้านบาท กำไรเกือบ 500 ล้านบาท ภาษานักการเงินเขาเรียกมัน surpass ไปเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จของการสร้างรายได้ฐานใหม่ หรือ new base ของสิงห์ เอสเตท”

สำหรับความสำเร็จของปีที่ผ่านมานั้น แม่ทัพแห่งสิงห์ เอสเตท กล่าวว่า มีปัจจัยหลายประการที่เกื้อหนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2565 ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งสูงถึง 77% และ 30% ตามลำดับ นับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามที่เกิดขึ้นเพียง 1 ปี หลังปรับโครงสร้างธุรกิจและรุกเข้าสู่การพัฒนาบ้านแนวราบอย่างเต็มตัว

นอกจากนี้ ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR สามารถทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ประกอบการโรงแรมในไทยที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ผนวกกับแรงหนุนจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 28% จากปีก่อนหน้า ด้านกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) ที่ไต่ระดับสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่

ปี 2566 จ่อเปิดแฟล็กชิปใหม่ บ้านหลังละ 550 ล้าน แพงสุดในไทย

ปี 2566 เป็นอีกปีที่น่าจับตามอง เพราะสิงห์ เอสเตท ตั้งเป้ากำไรสู่ All-time High ในทุกพอร์ตธุรกิจ สร้างรายได้รวมสูงขึ้น 34% จากปีก่อน หรือกว่า 16,700 ล้านบาท พร้อมชูกลยุทธ์ “S EXCELS” มุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกมิติ เดินหน้าเปิดโครงการที่พักอาศัยแนวราบใหม่อีก 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโครงการบ้านสุดหรูในย่านซีบีดี ราคา 550 ล้านบาทต่อหลัง

“กลยุทธ์ ‘S EXCELS’ คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ มิติแรก คือ ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ดันเป้ากำไรสู่ All-time High ในทุกพอร์ตธุรกิจ มิติที่สองคือ การเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขัน เน้นการสร้าง Synergy ที่เกื้อหนุนกันระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี มิติที่สามคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และกำหนดแผนอนุรักษ์ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณธุรกิจตั้งอยู่”

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบใหม่ บนทำเลศักยภาพ ขยายฐานเจาะตลาดหลากหลายเซกเมนต์อีก 5 โครงการ ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวระดับราคา 15-30 ล้านบาท และระดับราคา 30-50 ล้านบาท Cluster Home ระดับราคาตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป พร้อม Flagship Cluster Home Project ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้นสูงถึง 550 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งจะรั้งตำแหน่งบ้านที่มีราคาสูงที่สุดในไทยไปโดยปริยาย

“โพสิชั่นนิ่งของสิงห์ เอสเตท คือความลักชัวรี สันติบุรีคือแฟล็กชิปที่ 1 บ้านหลังละ 550 ล้าน บนทำเลซูเปอร์ทองที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ คือแฟล็กชิปที่ 2 ของเรา”

ทั้งนี้คาดว่าโครงการบ้านสุดหรูดังกล่าวจะตั้งอยู่บนทำเลทองกลางเมืองอย่างย่านสุขุมวิท บนที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 10 ไร่ โดยโครงการแรกจะมีเพียง 2 ยูนิตเท่านั้น และใช้รูปแบบขายที่ดินพร้อมสั่งสร้างคล้ายกับโมเดลของโครงการสันติบุรี

ขณะเดียวกันเพื่อตอบรับความต้องการในตลาดคอนโดมิเนียมที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Ready-to-move-in สิงห์ เอสเตทจึงขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้และกำไรจากโครงการดังกล่าวเต็ม 100% โดยคาดว่าโครงการที่พักอาศัยในปีนี้จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70%

กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ใช้กลยุทธ์โมเดลธุรกิจ Right sizing ควบคู่ Ready-to-move นำเสนอขนาดพื้นที่ให้เช่าที่หลากหลายและพร้อมใช้งาน โดยปี 2566 ตั้งเป้าผลประกอบการเพิ่มขึ้น 20% ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 90% ในทุกโครงการ

กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ หรือ ‘SHR’ จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดดเด่นอย่างชัดเจนในปีนี้ โดยโรงแรมในเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คาดรายได้เติบโตถึง 60% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์จะเติบโตขึ้น 30% หนุนรายได้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 20%

กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยชูจุดแข็งของอ่างทองที่เป็นทำเลยุทธศาสตร์และจุดศูนย์กลางของแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่งเป็นตัวขับเคลื่อน

ด้วยแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์เพื่อสร้าง All-Time High ในทุกธุรกิจ ทำให้ สิงห์ เอสเตท มั่นใจว่าปี 2566 จะเป็นปีที่สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าที่ 34% หรือมากกว่า 16,700 ล้านบาท แต่ที่แน่ๆ วงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยแข่งขันกันดุเดือดอย่างแน่นอน.