วันจันทร์, พฤศจิกายน 11, 2024
Home > New&Trend > ซีพีเอ็น’ ตอกย้ำ ‘เบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทย’ มั่นใจภาครัฐ ลงทุนไม่หยุดยั้ง เดินหน้าทุ่มเงินกว่า 22,000 ล้านบาท ‘สร้างงาน สร้างเมือง สร้างประเทศ เป็น Center of Life ของทุกจังหวัด’

ซีพีเอ็น’ ตอกย้ำ ‘เบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทย’ มั่นใจภาครัฐ ลงทุนไม่หยุดยั้ง เดินหน้าทุ่มเงินกว่า 22,000 ล้านบาท ‘สร้างงาน สร้างเมือง สร้างประเทศ เป็น Center of Life ของทุกจังหวัด’

ซีพีเอ็น’ ตอกย้ำ ‘เบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทย’ มั่นใจภาครัฐ ลงทุนไม่หยุดยั้ง เดินหน้าทุ่มเงินกว่า 22,000 ล้านบาท ‘สร้างงาน สร้างเมือง สร้างประเทศ เป็น Center of Life ของทุกจังหวัด’ พัฒนา 5 ไฮไลท์โปรเจ็กต์ และปรับโฉมทั่วประเทศ ภายในปี 2565

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ผู้นำเบอร์หนึ่งในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย นำโดยวัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ ประกาศแผน ‘สร้างงาน สร้างเมือง สร้างประเทศ เป็น Center of Life ของทุกจังหวัด’ ลงทุนต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ทุ่มงบ 22,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2565 ตั้งเป้าเสริมภาครัฐบุกเบิกเมืองเศรษฐกิจใหม่ และปลุกปั้นย่าน new urbanized district สำคัญของกรุงเทพฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยชู 5 ไฮไลท์โปรเจ็กต์ ได้แก่ โครงการมิกซ์ยูสใหม่ 3 แห่งในจังหวัดอยุธยา ศรีราชา และ จันทบุรี สร้าง ‘Golden District’ ของจังหวัด ด้วยโครงการมิกซ์ยูสรูปแบบใหม่ บุกตลาดก่อนใคร และพลิกโฉมศูนย์การค้า 2 แห่ง บนทำเลศักยภาพใหม่ของกรุงเทพฯ ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 และรามอินทรา พร้อมยังปรับปรุงและขยายพื้นที่อีก 12 สาขาทั่วประเทศ อีกทั้ง ยังเดินหน้าต่อเนื่องโครงการร่วมทุน Dusit Central Park มูลค่าอีกกว่า 36,700 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 2567 พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการภายใต้บริษัท GLAND โดยเฉพาะโครงการย่านพระราม 9 เตรียมประกาศโครงการยิ่งใหญ่เร็วๆ นี้ หวังพลิกย่านพระราม 9 ให้เป็น New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ ซีพีเอ็น กล่าวว่า “ซีพีเอ็นถือเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งของประเทศในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาบุกเบิกเป็น Pioneer and Innovator ในการสร้างแนวคิด ‘Center of Life ศูนย์กลางการใช้ชีวิต’ ร่วมกับคู่ค้า เพื่อชุมชน ในทุกโลเคชั่น ทั่วทุกภูมิภาค ทุกจังหวัดของประเทศไทย และไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ตลอด 39 ปีที่ผ่านมาซีพีเอ็นไม่เคยหยุดนิ่งในการลงทุนพัฒนาและยังคงเดินหน้าอย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด โดยบริษัทฯ ดำเนินตามแผนงานและบรรลุเป้าหมายอย่างประสบความสำเร็จต่อเนื่องในทุกโครงการ ซึ่งบริษัทฯ มีความภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ และพื้นที่นั้นๆ ที่จะสามารถกระจายความเจริญ สร้าง multiplier effect อย่างเป็นรูปธรรมทั้งทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สังคม และคนในชุมชนทั่วประเทศ

โดยล่าสุดซีพีเอ็นได้รับการการันตีด้วยรางวัลระดับโลก DJSI World (Dow Jones Sustainability Index) สมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก 2 ปีซ้อน (2018-2019) และ DJSI Emerging Market 6 ปีซ้อน สะท้อนความเป็นบริษัทที่มี ’ความยั่งยืน’ ในการทำธุรกิจที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกอย่างแท้จริง ซึ่งซีพีเอ็นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงรายเดียวของไทยที่ได้รับรางวัลดังกล่าว”

“และในวันนี้จะเป็นอีกครั้งที่บริษัทฯ จะประกาศเดินหน้าพัฒนาโครงการ ศูนย์การค้า และ Mixed-use development ครั้งสำคัญ ที่จะเป็นแผนเพื่อส่งเสริมการ ‘สร้างงาน สร้างเมือง สร้างประเทศ เป็น Center of Life ของทุกจังหวัด’ ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่พัฒนาไปและลงลึกกับความต้องการของคนและชุมชนในแต่ละโลเคชั่นแบบ Area-Based Creation พร้อมทั้ง ‘Magnify Local Essence’ ดึงจุดเด่นของพื้นที่มาสร้างเป็น ‘Magnet’ ช่วยยกระดับบทบาทของพื้นที่นั้นๆ ในระดับประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยซีพีเอ็นได้นำเอา 3 หัวใจหลักที่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจ และกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ คือ การท่องเที่ยว การพัฒนาตามโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการเทรดดิ้งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศมาเป็นตัวแปรในการพัฒนาโครงการใหม่ของบริษัท ซึ่งโครงการใหม่ที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะเป็นโมเดลที่จะนำพาเอา net positive impact ไปสู่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และนี่จะเป็นอีกครั้งที่ ซีพีเอ็นจะมีส่วนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาชุมชนในแต่ละที่ไปพร้อมๆ กัน (Growth for the Country, Great for Locality)” นางสาววัลยา กล่าว

ภายในปี พ.ศ. 2565 ซีพีเอ็นจะพัฒนา 17 โครงการ ได้แก่ 5 ไฮไลท์โปรเจคสำคัญ และปรับโฉม 12 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 22,000 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาสตร์ของภาครัฐ ประกอบด้วย

ยึดหัวหาด 3 เมืองเศรษฐกิจใหม่ด้วยมิกซ์ยูสรูปแบบใหม่กลางใจเมือง ได้แก่ “เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา, ศรีราชา, จันทบุรี”

ปลุกปั้นย่าน New Urbanised District กับ 2 ศูนย์การค้าในทำเลทองของกรุงเทพฯ ได้แก่ “เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 และ รามอินทรา”
พร้อมปรับโฉมศูนย์การค้าอีก 12 สาขาทั่วประเทศ เพื่อจะรองรับการเติบโตของเมืองต่างๆ กระจายไปหลายภูมิภาคของประเทศ

อีกทั้ง ยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง 2 Big Impact Projects ได้แก่ โครงการร่วมทุน ‘Dusit Central Park’ โครงการระดับเวิลด์คลาสที่ยิ่งใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ มูลค่าอีกกว่า 36,700 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จปี 2567 และยังมีโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการภายใต้บริษัท GLAND โดยเฉพาะโครงการพระราม 9 จากการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งได้จัดสรรผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยโครงการอยู่ในระหว่างการทำแผน และจะประกาศโครงการใหญ่เร็วๆ นี้ คาดว่าจะพลิกย่านพระราม 9 ให้เป็น New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ

ยึดหัวหาดสร้างเมืองเศรษฐกิจใหม่ 3 จังหวัด – เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา, ศรีราชา, จันทบุรี

นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ และโครงการของซีพีเอ็น กล่าวว่า สำหรับโครงการใหม่ที่เรากำลังพัฒนาจะตั้งอยู่ใน 3 จังหวัดที่มีศักยภาพสูงของประเทศ ได้แก่เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา, ศรีราชา, จันทบุรี เพื่อตอบรับการเติบโตทั้งในด้านการลงทุนใน infrastructure การค้าของประเทศ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมือง ประกอบไปด้วย

1) โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา’ ภายใต้แนวคิด ความเรืองรองแห่งพระนครศรีอยุธยา

เมืองอยุธยาถือเป็น strategic location เป็น ‘Hub ของภาคกลางตอนบน’ ครอบคลุมจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี ประชากรเกือบ 2,500,000 คน และยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญที่ต่อขยายจากกรุงเทพฯ อีกทั้ง ส่งเสริมความเป็นเมืองมรดกโลกโดยยูเนสโก และย้อนรอยความเจริญรุ่งเรืองของเมืองอยุธยา สร้างชีวิตชีวาให้อยุธยากับมาเรืองรองอีกครั้ง โดยการนำ Kyoto Model มาเป็นต้นแบบเพื่อผลักดันอยุธยาเป็นอีกหนึ่ง Top destination เมืองท่องเที่ยวของโลก ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวกว่า 8.2 ล้านคนต่อปี

เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา จะเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, Tourist Attraction, โรงแรม, ที่พักอาศัย, และคอนเวนชั่นฮอลล์ ด้วยการออกแบบที่เชิดชูเอกลักษณ์ของเมืองอยุธยาในอดีต ผ่านดีไซน์ ร่วมสมัย โครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวเมืองอยุธยาที่นักท่องเที่ยวทั้งไทย-เทศ ต้องมา check in เป็นที่แรกเมื่อมาถึง ด้วยจุดขายของโครงการอย่าง ‘นิทรรศน์พระนครฯ’ เรียนรู้ประวัติศาสตร์อยุธยาผ่าน Interactive Gallery แห่งแรก และ ‘ทรรศนาอโยธยา’ จำลองวิถีชีวิตอยุธยายุคเก่านำมาเล่าใหม่ ในบรรยากาศ outdoor แบบย้อนยุคด้วยร้านค้าเสมือนอยุธยาสมัยก่อน และมีชุดไทยให้เปลี่ยนก่อนเดินทางเยี่ยมชมเพื่อสัมผัสประสบการณ์เสมือนได้ย้อนยุคกลับไปอยุธยาโบราณจริงๆ คาดว่าโครงการจะเปิดให้บริการไตรมาสที่ 2 ปี 2564

2) โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา’ ภายใต้แนวคิด Living Green in Smart City of EEC Center
โครงการที่ซีพีเอ็นลงทุนเสริมแผนภาครัฐในเมืองหลักภาคตะวันออก ผลักดันศรีราชาเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่จะมีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดใน EEC ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่คู่ขนานไปกับภาครัฐ เพื่อเชื่อมโยง กรุงเทพฯ – ชลบุรี – เพิ่มจิ๊กซอว์ ศรีราชา – บรรจบ ระยอง ให้ครบ โดยศรีราชาเป็นเมืองอุตสาหกรรม New S-Curve เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และจะเป็น MICE Hub ของ EEC Center จึงต้องตอบโจทย์ด้วยศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ทันสมัยด้วยโครงการมิกซ์ยูส ใจกลางศรีราชาและแหลมฉบัง บนทำเลที่ดีที่สุดและมีกำลังซื้อหนาแน่นที่สุดในศรีราชา ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, คอนเวนชั่นฮอลล์, เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์, ออฟฟิศ และโรงแรมในอนาคต โดยเป็นครั้งแรกที่มีศูนย์การค้าแบบ Semi-Outdoor โมเดลเดียวกับเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ นอกพื้นที่กรุงเทพฯ ในคอนเซ็ปต์ ‘Living Green in Smart City of EEC Center’ สร้าง Third Place ให้คนศรีราชาได้หลบหลีกจากความวุ่นวาย มาพักผ่อนในบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย โดยที่นี่เป็นศูนย์การค้าฟอร์แมตใหม่แบบ Lifestyle Thematic Mall ที่แบ่งโซนร้านค้าตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ตกแต่งเป็นธีมห้องต่างๆ ให้บรรยากาศเป็นกันเองเหมือนอยู่บ้าน พร้อมมี Outdoor walking streetที่ตกแต่งโดย integrate ธรรมชาติเข้ากับดีไซน์ที่สื่อบ่งบอกจุดเด่นของศรีราชา บนพื้นที่ indoor และ outdoor ไว้ที่นี่ที่เดียวสร้าง seamless shopping journey อย่างแท้จริง โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2564

3) โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี’ สร้าง format ใหม่ ภายใต้แนวคิด The Shining Gem of EEC Plus 2
ซีพีเอ็นจะปูพรมภาคตะวันออก จะเป็น The Best Modern Living Area ที่แรกที่ดีที่สุดในจันทบุรี บนทำเลศักยภาพที่มีทั้งศูนย์การค้า, Local market, คอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย รวมถึง Premium Sport Club & Social Park ริมน้ำตอบรับไลฟ์สไตล์เมืองเติบโตใหม่ ที่นี่เปรียบเหมือน “The Shining Gem of EEC plus 2” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งจันทบุรีและตราด บริษัทฯ เป็น Top developer เจ้าแรกที่เห็นศักยภาพของจังหวัดในฐานะเมืองเชื่อมโยง EEC ที่กำลังเติบโต อีกทั้งยังเป็นมหานครผลไม้เมืองร้อนของโลก และศูนย์กลางการค้าขายพลอยและอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแนวไลฟ์สไตล์อีกด้วย โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2565

ปลุกปั้นย่าน New Urbanised District ทำเลทองของกรุงเทพฯ – พระราม 2 และรามอินทรา
4) เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 จะเป็น The Largest Regional mall – Gateway of South Bangkok

การพลิกโฉมครั้งยิ่งใหญ่ของเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 โดยปักหมุด และเชื่อมโยงทุกทิศของขอบเมืองชั้นใน และจะผลักดันให้ย่านพระราม 2 กลายเป็น new urbanized district แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ โดยเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 จะถูกพลิกโฉมยกเครื่องศูนย์ใหม่ทั้งหมด ทั้งด้านดีไซน์ การเพิ่มร้านค้าใหม่ๆ ปรับปรุงร้านค้าที่มีอยู่เดิม โดยธุรกิจต่างๆ ของ Central Group อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล,TOPs, B2S ก็พร้อมใจกันปรับโฉมครั้งใหญ่ เพื่อขยายและสร้างปรากฏการณ์พร้อมกัน และที่โดดเด่นที่สุดคือ จะมีการ re-create พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ชื่อว่า สวน Central Plearn Park ที่มีขนาดใหญ่ถึง 37 ไร่ ให้เป็นเหมือน The Oasis of South Bangkok ที่จะเป็นพื้นที่สำหรับ Family leisure hub ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มครอบครัวกำลังซื้อสูง ประกอบไปด้วย Food Garden & Fashion Park, Kids Gym, Multi-sport recreation (ลู่วิ่ง, bike lane, ร้านค้าขายสินค้าแนวสปอร์ต) และเป็น Pet Community ที่มีทั้ง โรงพยาบาลสัตว์ Pet playground, Pet pool และ Pet Shop โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ปี 2565

5) เซ็นทรัลพลาซา รามอินทรา ภายใต้แนวคิด Living Lab of Ramindraกับการพลิกโฉมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 26 ปี เพื่อรองรับกลุ่มประชากรและ Catchment ที่เติบโตขึ้น จากหมู่บ้านเป็นคอนโด แนวราบเป็นแนวสูง ที่มีความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาตาม Transit-oriented development ให้เป็น TOD format ใหม่ การเติบโตของ infrastructure ในย่านรามอินทรา ด้วย Monorail สายสีชมพู คอนโดฯ โรงเรียนนานาชาติ และโรงพยาบาลในย่านรามอินทรา โดยโครงการนี้จะเป็น Community ใหม่ ที่เป็นเหมือน Third Place ดังเช่นที่เซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 เคยทำจนประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยจะช่วยทำให้ผู้คนในย่านนี้ได้ Convenient, Connected และ Comfortable for everyday life ด้วยการเป็นเดสติเนชั่นทั้งด้านอาหาร กีฬา Co-living Space รองรับทุกความต้องการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2564

“นอกจากนี้ เพื่อปรับเปลี่ยนให้ทุกโครงการของซีพีเอ็นตอบโจทย์แนวคิดการเป็น ‘Center of Life’ ของผู้คนที่มากกว่าการช้อปปิ้ง อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกไลฟ์สไตล์และทุกกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็น Third Place และสร้างความสุขให้แก่ทุกคน

โดยในปี 2563 บริษัทฯ จะทำการปรับปรุงและขยายพื้นที่ศูนย์การค้าอีก 12 สาขาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา พระราม 9, เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์, เซ็นทรัลพลาซา บางนา, เซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น, เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ และเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่แอร์พอร์ต, เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช, เซ็นทรัล มารีนา พัทยา, เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย และเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ และทั้งหมดนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายชนวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีมูลค่าองค์กรสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และศูนย์การค้าของไทย เป็นผู้บุกเบิกสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ สู่สังคมไทยมากว่า 39 ปี มีการลงทุนพัฒนาสิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อเติมเต็มความต้องการ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทย รวมไปถึงช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาความเจริญให้กับประเทศไทยอีกด้วย ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์การสร้าง “Center of Life” ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของผู้คนในแต่ละชุมชนทั่วประเทศไทย

โดยปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง และโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 9 โครงการ ภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE และ “ฟิล พหล 34” (PHYLL PAHOL 34) และโครงการบ้านเดี่ยว “นิยาม บรมราชชนนี” โดยบริษัทฯ มีแผนธุรกิจระยะยาวที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ ในทำเลศักยภาพสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาธุรกิจในรูปแบบอื่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก

ใส่ความเห็น