การเปิดตัวอภิมหาโครงการ “ไอคอนสยาม” เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 กระตุ้นความคึกคักขีดสุดให้ตลาดค้าปลีกริมน้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะการโหมโรงสู่เทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปี 2562 ระหว่าง “เอเชียทีค” ในฐานะที่ 1 ทัวริสต์เดสทิเนชั่นริมฝั่งน้ำตลอด 7 ปีที่ผ่านมากับ “ไอคอนสยาม” ซึ่งปีนี้ทุ่มงบจัดเต็มแบบครบเครื่อง เพื่อชิงตำแหน่งเคานต์ดาวน์เดสทิเนชั่นของโลก
ทั้งนี้ ไอคอนสยามถือเป็น 1 ในจุดหมายของงาน Amazing Thailand Countdown 2019 ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนดจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ใน 5 แห่ง แบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 1 แห่ง คือ ไอคอนสยาม และอีก 4 แห่งในเมืองรองแต่ละภาค ได้แก่ นครพนม เชียงราย ราชบุรี และสตูล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและกระจายรายได้ลงไปสู่ฐานราก ซึ่ง ททท. คาดว่าระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2561-1 มกราคม 2562 จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศรวม 17,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 520,000 คน เพิ่มขึ้น 9% สร้างรายได้ 7,870 ล้านบาท เพิ่ม 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากตลาดไทยเที่ยวไทย 2.7 ล้านคน เติบโตขึ้น 3% สร้างรายได้ 9,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเฉพาะกรุงเทพฯ จังหวัดเดียวคาดว่าจะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนกว่า 220,000 คน รวมทั้งดึงสถานีโทรทัศน์ช่องดังของโลก 3 ช่อง ได้แก่ ซีเอ็นเอ็น (CNN) บีบีซี (BBC) และซีซีทีวี (CCTV) ถ่ายทอดภาพบรรยากาศงานเคานต์ดาวน์ที่ไอคอนสยาม เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นหนึ่งจุดหมายปฏิทินปีใหม่ของโลก
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. ร่วมกับกลุ่มไอคอนสยามและพันธมิตร ได้แก่ สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา กรมเจ้าท่า ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย สมาคมเรือไทย โครงการความร่วมมือพันธมิตรริมแม่น้ำเจ้าพระยา (Bangkok River Partner) และชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาร่วมจัดกิจกรรม “Amazing Thailand Countdown 2019” ในวันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. โดยมีเวทีหลักที่ ริเวอร์พาร์ค ไอคอนสยาม และจัดกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อตอกย้ำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสายประวัติศาสตร์นี้เป็น National Iconic Landmark และจุดหมายปลายทางสำคัญของโลก
สำหรับกิจกรรมไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การแสดงพลุที่ทำจากข้าวเหนียวไทย ภายใต้แนวคิด “แม่น้ำแห่งความรุ่งเรือง” แสดงถึงประวัติศาสตร์เรื่องราวของแม่น้ำเจ้าพระยา สะท้อนวิถีชีวิต อารยธรรม และตำนานของความเป็นสยามประเทศ จำนวน 5 องก์ ความยาวประมาณ 5 นาที เริ่มจากองก์ที่ 1 สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองอันเป็นนิรันดร์ (The River of Prosperity) นำเสนอพลุสีเงิน ทอง และนาก เรียงต่อเป็นแนวเดียวกัน ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองมั่งคั่งตามความเชื่อของทั้งชาวไทย และชาวโลก ฉาบลำน้ำเจ้าพระยาเรืองรองสุกสว่าง
องก์ที่ 2 มณีแห่งสยาม (The Siam Treasure) นำเสนอผ่านพลุสะท้อนภาพของอารยธรรมไทย ที่มีความสัมพันธ์กับแม่น้ำเจ้าพระยาทุกมิติของชีวิตคนไทย เป็นแหล่งน้ำเพื่อการดำรงชีพและสัญจรของคนริมสองฝั่ง เส้นทางเดินเรือของคณะทูต เส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าเพื่อการค้าขายตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน เป็นลำน้ำที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ความเชื่อ และเป็นเส้นทางสัญจรไปยังสถานที่ท่องเที่ยวริมสองฝั่ง ที่นำรายได้มาสู่ประเทศ
องก์ที่ 3 บุปผชาติแห่งผืนน้ำ (The Blossom of Joy) นำเสนอพลุที่สร้างความสนุกสนานที่หลากหลายรูปแบบ ประกอบเพลงจังหวะสนุกแบบไทย สะท้อนเอกลักษณ์ของความเป็นไทย คือ ความสนุกสนาน อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส องก์ที่ 4 สันติภาพบนผืนโลก (One World) เป็นพลุสีธงชาติของทุกประเทศบนโลก แสดงถึงความเชื่อมโยง เกี่ยวพันกันทั่วโลกผ่านการท่องเที่ยว การค้า การศึกษา เรียนรู้และแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน บนพื้นฐานของความเสมอภาค และเป็นการเริ่มต้นปีด้วยความสัมพันธ์อันดีงามที่จะยั่งยืนตลอดไป
องก์ที่ 5 รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย (Thailand) พลุสีธงชาติไทย สร้างขึ้นเป็นธงไตรรงค์ผืนใหญ่ตลอดโค้งน้ำด้วยสีแดง ขาว น้ำเงิน สะท้อนถึงสิ่งที่ทำให้ไทยยังคงเป็นชาติมาจนปัจจุบัน คือความสามัคคี
ในการจัดแสดงพลุทั้ง 5 องก์ มีเรือเป็นจุดยิงพลุทั้งสิ้น 5 จุด โอบรอบโค้งน้ำ และสามารถมองเห็นได้เป็นระยะทางกว่า 1,400 เมตร ซึ่งถือเป็นการแสดงพลุที่มีระยะทางยาวที่สุดเท่าที่เคยมีมาของการแสดงพลุบนแม่น้ำเจ้าพระยา โดยประชาชนทั่วไปสามารถชมการแสดงพลุครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้จากพื้นที่ต่างๆ เช่น สะพานสาทร สวนเฉลิมพระเกียรติ ท่าเรือสาทร สถานีตำรวจน้ำ 2 ท่าเรือคลองสาน ลานจอดรถสำเพ็ง CAT สาขาบางรัก ท่าเรือวัดสุวรรณ ธนาคารไทยพาณิชย์ ล้ง 1919 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมพลุนี้มากกว่า 1 ล้านคนในรัศมี 2 กิโลเมตร
นอกจากนี้ มีการจัดแสดงโขนชุดใหญ่เรื่อง “พระรามคืนนคร ครองเมือง” และการแสดงสดจากศิลปินไทย-เทศ
สุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน เคานต์ดาวน์ที่ไอคอนสยามครั้งนี้ใช้งบของพันธมิตรที่เกี่ยวข้องรวมกัน 100 ล้านบาท และคาดว่าในวันที่ 30-31 ธ.ค.นี้ จะมีทราฟฟิกผู้มาเยือนไอคอนสยามมากที่สุดถึง 250,000 คนต่อวัน โดยเป็นสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 25-30%
ด้าน “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” มีการเพิ่มงบจัดงานเคานต์ดาวน์รวม 20 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 15-16 ล้านบาท โดยทุ่มทุนสร้าง The Tique Tower เวทีสุดอลังการสูงเทียบเท่าตึก 8 ชั้น พร้อมเทคนิค 4D Effect ตลอดทั้งงาน โดยได้กลุ่ม AV Projects บริษัทในกลุ่ม AV Group ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจอีเวนต์แบบครบวงจรกว่า 30 ปี มาเป็นแม่งานบริหารจัดการทั้งหมด
เอ่ยชื่อ AV Group ถือเป็นบริษัทอีเวนต์ขนาดใหญ่ เคยผลิตงานคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรี ทั้งระดับประเทศและระดับสากล เช่น Bangkok Countdown, Paragon World Countdown, Wonder Fruit Festival, Warp Music Festival, North Festival, Thay Long Talay, Winter Breeze Festival, Nunglen on the Beach, Assanee Wasan Concert, Big 80’s, Love Laugh Cry With 9 Men, Kenny G Concert, Selena Jones Concert, Laura Fygi และ One Young World Opening & Closing Ceremony
เปรมินทร์ เลอนรเสฏฐ์ ผู้จัดการทั่วไป โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ กลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) กล่าวว่า การจัดงาน Asiatique Thailand Countdown 2019 วางคอนเซ็ปต์เป็น Tomorrow Port ผ่านการเนรมิตท่าเรืออีสต์เอเชียติ๊กในอดีตให้เป็นท่าเรือแห่งโลกอนาคตที่ลำเลียงความสุขมาเป็นตันในค่ำคืนสำคัญของการก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ มี “The Tique Tower” เป็นสัญลักษณ์แทนปล่องไฟของเรือกลไฟ และจัดการแสดงภายใต้ระบบ Digital Visual บน LED Rings-Expect The Unexpected Shows จากศิลปินหลากสีสันแนวเพลง
“งานเคานต์ดาวน์ปีนี้ เอเชียทีคจัดแสงสีเสียงระบบ 4D และตอนเที่ยงคืนมีการแสดงพลุจัดเต็มยาวถึง 7 นาที โดยคาดการณ์จะมียอดนักท่องเที่ยวทยอยเข้างานรวมไม่ต่ำกว่า 150,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 15-20% แบ่งสัดส่วนเป็นชาวต่างชาติ 60% คนไทย 40% และจริงๆ ต้องบอกว่า ตลาดริมน้ำคึกคักเป็นพิเศษ การที่มีเพื่อนบ้านเยอะไม่ใช่คู่แข่ง เป็นการส่งเสริมกัน ตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเอเชียทีค 7 ปีที่ผ่านมา มีเคานต์ดาวน์ทุกปี มีแฟนๆ รอคอยร่วมงานทุกปี ธีมปีนี้ยิ่งใหญ่มากและสิ่งสำคัญที่สุด คือ การตอกย้ำเอเชียทีคในฐานะที่หนึ่งในเรื่องบรรยากาศริมน้ำ”
ต้องถือว่า การประชันศึกเคานต์ดาวน์ระหว่างยักษ์ใหญ่สองฝั่งน้ำ ด้านหนึ่งปลุกเสน่ห์ความน่าหลงใหลให้แหล่งท่องเที่ยวและตลาดค้าปลีกริมเจ้าพระยามากขึ้น ดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ
แต่อีกด้านหนึ่ง ตลาดค้าปลีกริมฝั่งน้ำจะเป็นแนวรบที่ร้อนแรงตลอดปี 2562 และเกมเคานต์ดาวน์เหมือนเป็นการประเดิมศึกครั้งสำคัญของ “ไอคอนสยาม-เอเชียทีค” โดยเฉพาะการพลิกกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด