หลังจากซุ่มเงียบอยู่นานหลายปี ล่าสุด กลุ่ม เค.อี.กรุ๊ป ตัดสินใจเดินหน้ารุกสงครามบ้านหรู ทุ่มเม็ดเงิน 4,000 ล้านบาท ผุดโครงการบ้านระดับอัลตราลักชัวรี 6 ดาว “คริสตัล โซลานา” ยูนิตละ 60-300 ล้านบาท ตอบโต้คู่แข่ง “สิงห์ เอสเตท” ที่บุกถึงทำเลเจ้าถิ่นย่านเกษตร-นวมินทร์ เปิดตัวบ้านเดี่ยว สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนซ์ ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 250 ล้านบาท มูลค่ารวมกว่า 6,500 ล้านบาท
ที่สำคัญ เค.อี.กรุ๊ป ยังประกาศขอผูกขาดยึดตำแหน่งที่ 1 ในตลาดบ้านหรู โดยเตรียมเงินกว้านซื้อที่ดินในทุกทำเลสำคัญ ทั้งย่านสุขุมวิท สาทร เย็นอากาศ กรุงเทพกรีฑา และพัฒนาการ เพื่อก่อสร้างโครงการอย่างต่อเนื่องและเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์ “คริสตัล” ก่อนเผยโฉมบิ๊กโปรเจกต์ มิกซ์ยูส มูลค่า 50,000 ล้านบาท บริเวณจุดตัดสี่แยกเกษตร-นวมินทร์กับถนนประดิษฐ์มนูธรรมอย่างเป็นทางการ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
ศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เค.อี.กรุ๊ป กล่าวถึงภาพรวมตลาดบ้านหรูในเมืองไทยยังมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2561 เติบโตกว่า 10% และจากข้อมูลปี 2560 ฐานลูกค้าประเภทไฮเน็ตเวิร์ก หรือลูกค้าที่มีสินทรัพย์มูลค่า 200 ล้านบาทขึ้นไป ในกรุงเทพฯ มีประมาณ 91,000 คน ไม่นับรวมลูกค้าต่างชาติ ซึ่งฐานลูกค้ากลุ่มนี้มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 13%
ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดรวมบ้านหรูในกรุงเทพฯ ที่มีราคาขายตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมามีประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละประมาณ 8,000 ล้านบาท แยกสัดส่วนโซนในเมือง จำนวน 10 โครงการ 88 ยูนิต ระดับราคาประมาณ 62 ล้านบาท โซนกรุงเทพตะวันออกเฉียงเหนือ 2 โครงการ จำนวน 75 ยูนิต ระดับราคา 77 ล้านบาท โซนกรุงเทพตะวันออก 3 โครงการ จำนวน 55 ยูนิต ระดับราคา 58 ล้านบาท และโซนฝั่งธนฯ 5 โครงการ จำนวน 266 ยูนิต ระดับราคา 52 ล้านบาท รวมทั้งหมด 20 โครงการ 484 ยูนิต ระดับราคาเฉลี่ย 57 ล้านบาท
ด้านข้อมูลจากบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ยังพบว่า บ้านระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีโครงการบ้านจากผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่และรายย่อยรวม 42 โครงการ จำนวน 1,554 ยูนิต สะท้อนให้เห็นความต้องการบ้านระดับลักชัวรีอย่างต่อเนื่อง โดยมี 7 ทำเลศักยภาพหลักเรียงลำดับตามความหนาแน่นของโครงการ คือ ทำเลสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) ลาดพร้าว-เกษตร-นวมินทร์ พระรามเก้า-ศรีนครินทร์-พัฒนาการ ราชพฤกษ์ สาทร พระราม 3 บางนา และพระราม 2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงการบ้านระดับลักชัวรีอยู่กระจายตัวกันตามแหล่งความเจริญของเมืองที่มีลักษณะเด่นต่างกัน
อย่างไรก็ตาม โครงการบ้านระดับหรูมีข้อจำกัดเรื่องที่ดินและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี ทำให้ผู้ประกอบการหันไปพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีขนาดเล็กลงและทำโครงการบ้านแนวสูงมากขึ้น คือ บ้านที่ความสูงมากกว่า 15 เมตรหรือ 4 ชั้นขึ้นไป จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานบ้านแนวสูง 12 โครงการ จำนวน 94 ยูนิต โดยปี 2558-2559 บ้านประเภทนี้อยู่ในทำเลสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) และปี 2560 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีการกระจายตัวของบ้านแนวสูงออกจากทำเลสุขุมวิทไปยังโซนลาดพร้าว เกษตร-นวมินทร์ บางนา พระรามเก้า พัฒนาการ และศรีนครินทร์มากขึ้น
แน่นอนว่า สำหรับย่านเกษตร-นวมินทร์ ถือเป็นทำเลบ้านเดี่ยวระดับหรูที่ยังแข่งขันไม่รุนแรง แต่เริ่มมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์เข้ามารุกช่วงชิงพื้นที่มากขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งรวมกลุ่มเป้าหมายกำลังซื้อสูง โดยประชากรในบริเวณนี้ใน 4 เขตหลัก ได้แก่ เขตลาดพร้าว บางกะปิ วังทองหลาง และบึงกุ่ม มีรายได้ต่อครอบครัวเฉลี่ยสูงกว่าบริเวณอื่นของกรุงเทพฯ ประมาณ 17%
นอกจากนี้ ในแง่ทำเลสามารถพัฒนาเป็นเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD: Central Business District) ได้ เพราะยังเหลือที่ดินรอการพัฒนาอีกจำนวนมาก ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ คอมเพล็กซ์ มิกซ์ยูส และยังมีความต้องการสูงเช่นเดียวกัน
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจน คือราคาบ้านในโครงการคริสตัล พาร์ค ของ เค.อี.กรุ๊ป จากราคาเริ่มต้นตอนก่อสร้างเมื่อปี 2549 อยู่ที่ 65 ล้านบาท แต่ปี 2561 นี้ มีการซื้อขายอยู่ที่หลังละ 125 ล้านบาท เติบโตกว่าหนึ่งเท่าตัว หรือเฉลี่ยปีละ 12% ซึ่งสูงกว่าอัตราผลตอบแทนทางการเงินทั่วไป
กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.อี.กรุ๊ป กล่าวว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายอาจประเมินไม่ดีนัก แต่กลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์กไม่ได้รับผลกระทบและมีความต้องการบ้านเดี่ยวที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น ซึ่งโครงการคริสตัล โซลานาตั้งเป้าหมายเจาะกลุ่มตลาด A+ และล่าสุดมียอดจองแล้ว 20% โดยมีลูกค้าจองซื้อบ้านมูลค่า 300 ล้านบาทแล้ว ขณะที่มีลูกค้าหลายรายต้องการรวมแปลงเพื่อให้ได้พื้นที่ขนาดใหญ่
“ตลาดบ้านหรูมีการเติบโตชัดเจนและแน่นอน ขณะที่แบรนด์คริสตัลได้รับการยอมรับจากความสำเร็จที่ผ่านมาในการทำโครงการบ้านคริสตัล พาร์ค โครงการแกรนด์ คริสตัล ตลอดจนโครงการคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี) และคริสตัล โซลานา ถือเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีที่สุด เป็นบ้านหรูที่มีจุดแข็งมากกว่าทุกโครงการที่ผ่านมา เรียกว่าเป็นที่สุดถึง 6 ด้าน”
เริ่มจาก 1. ที่สุดเรื่องทำเล ตั้งอยู่บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งเป็นทำเลบ้านหรูของกรุงเทพฯ และเป็นโครงการบ้านหรูโครงการเดียวของเมืองไทยที่ติดถนนใหญ่ ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเพียง 1 นาที บนทำเลหัวมุมที่มีรถไฟฟ้าถึง 2 สาย คือ สายสีเทา และสายสีชมพู
ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เป็นโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นที่ศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี และสิ้นสุดที่มีนบุรี ระยะทางรวม 34–36 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2564 ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา (วัชรพล-พระโขนง-สะพานพระราม 9-ท่าพระ) คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไม่เกินปี 2562
2. ที่สุดเรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรม โดยมีเอกลักษณ์ที่เน้นความหรูหราสไตล์ลักชัวรีคอนเทมโพรารี
3. ที่สุดเรื่องดีไซน์การออกแบบพื้นที่แบบไฮคลาส จัดสรรพื้นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในบ้านหลายฟังก์ชัน เช่น การจัดห้องรับแขกขนาดใหญ่ (Great Room) มีโถงต้อนรับ (Foyer) มีมุมน้ำชา (Tea Corner) มุมสังสรรค์และพักผ่อน (Library and Game Room) มุมปาร์ตี้ แอนด์ บาร์บีคิว เทอเรซ (Loggia and Terrace) ห้องนอนขนาดใหญ่ และทุกห้องในบ้านสามารถสัมผัสกับพื้นที่สีเขียว กรีน สเปซ (Green space) รอบตัวบ้านบางแบบมีพอร์ท เทโคเชร์ (Porte Cochere) ที่จอดรถยนต์ส่วนตัว จอดได้สูงสุดถึง 10 คัน
4. ที่สุดเรื่องการเลือกใช้วัสดุระดับโลก ซึ่งถือเป็นประสบการณ์โดยตรงจากการทำโครงการคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี) ทำให้สามารถคัดสรรวัสดุที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลได้จากทั่วโลก เช่น การใช้หินอ่อนทราเวอร์ทีนและไลม์สโตนคัดพิเศษจากอิตาลี ตุรกี และโปรตุเกส
5. ที่สุดของคลับเฮาส์สโมสรและสวน พื้นที่กว่า 2 ไร่ ประกอบด้วยห้องไลบรารี ห้องจัดงานสโมสร ห้องประชุม ห้องยิมออกกำลังกายขนาดใหญ่ ห้องสปา ห้องโยคะ ห้องซาลอน สระว่ายน้ำขนาด 25 เมตร พร้อมสระเด็กและสไลเดอร์ สนามเทนนิส, กอล์ฟไดร์ฟแพรคทิส สวนพักผ่อน สนามเด็กเล่น สวนบาร์บีคิว เส้นทางลู่วิ่ง 1-2.5 กิโลเมตร และ 6. ที่สุดของสังคมที่มีคุณค่า การคัดสรรเพื่อนบ้านและสังคมให้กับทุกคนในครอบครัว
ส่วนราคาขายเฉลี่ย 60-300 ล้านบาทต่อยูนิต เนื้อที่ 31 ไร่ มีทั้งหมด 51 แปลง ขนาดที่ดิน 123-800 ตารางวา โดยเป็นบ้านสั่งสร้างที่มีทั้งแบบ 2 ชั้น, 3 ชั้น และ 4 ชั้นตามเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยม 4 แบบ ประกอบด้วย แบบเอ็มเมอรัลด้า (Emeralda) พื้นที่ใช้สอย 1,010 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 89.5-300 ล้านบาท แบบเพอร่า (Perla) พื้นที่ใช้สอย 745 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 75-300 ล้านบาท แบบซาฟิร่า (Zafira) มีพื้นที่ใช้สอย 685 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 71.5-300 ล้านบาท และแบบไดมอนเต้ (Diamonte) มีพื้นที่ใช้สอย 490 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 61-300 ล้านบาท โดยโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกับการเปิดให้บริการเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย
ดังนั้น หากนับจากการเปิดโครงการแกรนด์ คริสตัล เมื่อปี 2549 จนมาถึง “คริสตัล โซลานา” บวกกับแผนเร่งรุกตลาดทุกปี ถือเป็นจุดเปลี่ยนของ “เค.อี.กรุ๊ป” ที่จะกระโดดเข้าสู่สมรภูมิการแข่งขันอย่างเต็มตัว Aggressive มากขึ้น และยังหมายถึงภาพรวมการแข่งขันที่จะดุเดือดร้อนแรง เพราะตลาดบ้านหรูอาจเป็นเพียงเซกเมนต์เดียวที่ปลอดจากพิษเศรษฐกิจแบบ 100% ขึ้นอยู่กับว่ากลยุทธ์ของบิ๊กอสังหาฯ จะช่วงชิงทำเลและกลุ่มลูกค้าเศรษฐีได้มากมายขนาดไหน!!