นอกจากความงดงามของธรรมชาติที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนแขวงหัวพัน แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวยอมเดินทางเป็นระยะทางไกลเพื่อมายังแขวงหัวพัน คือ อนุสรณ์สถาน “ถ้ำท่านผู้นำ” เมืองเวียงไซย สถานที่ที่มีร่องรอยของเรื่องราวในประวัติศาสตร์สมัยสงครามอินโดจีน ที่ยังหลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส
หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ให้กับตัวเองด้วยธรรมชาติที่งดงามของเมืองซำเหนือ แขวงหัวพันแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ “เมืองเวียงไซย (Vieng Xia)” เมืองเล็กๆ ที่อยู่ในแขวงหัวพัน อดีตศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพปลดปล่อยประเทศลาว
เมืองเวียงไซย อยู่ห่างจากซำเหนือซึ่งเป็นเมืองเอกของแขวงหัวพันเพียง 30 กิโลเมตร มีรถสองแถวขนาดเล็กวิ่งรับส่งจากซำเหนือไปเวียงไซยวันละหนึ่งรอบในตอนเช้า ถึงแม้จะเป็นรถประจำเส้นทางแต่ก็ไม่ได้วิ่งทุกวันขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร เพราะความที่เมืองเวียงไซยอยู่ไม่ไกลจากซำเหนือ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงใช้พาหนะส่วนตัวและรถอีแต๋นเอาเสียมากกว่า
อีกทางหนึ่งคือเช่ารถสองแถวที่วิ่งบริการในเมืองซำเหนือ คล้ายกับรถแท็กซี่จะแชร์ค่าโดยสารกับคนอื่นหรือจะเหมาทั้งคันก็ได้ รถสองแถวลักษณะนี้มีอยู่เยอะ ตกลงนัดแนะเวลาและเจรจาค่าโดยสารได้กับคนขับโดยตรง มีทั้งแบบเหมาทั้งคันเพื่อไปส่งที่เวียงไซยอย่างเดียว แบบนำเที่ยวด้วย หรือจะพาไปส่งและรอรับกลับ สนนราคาแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ได้แพงจนเกินไปนัก นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวเมืองเวียงไซยแบบเช้าไปเย็นกลับ การเลือกใช้บริการเหมารถสองแถวถือว่าสะดวกทีเดียว
แต่มีอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวผมทองคือการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับไปเอง ขับรถขึ้นเขาได้สัมผัสธรรมชาติแบบไม่มีอะไรปิดกั้น แต่ด้วยความที่เส้นทางจากซำเหนือไปยังเมืองเวียงไซยยังคงเป็นถนนที่ตัดเลียบเลาะเทือกเขา ดังนั้นความชำนาญในการขับขี่และคำนึงถึงความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อการเดินทางจะได้ไม่หยุดชะงัก
จากซำเหนือเราใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงเมืองเวียงไซย ซึ่งตลอดเส้นทางยังคงเป็นป่าเขาและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์งดงามอันเป็นเสน่ห์ของแขวงหัวพัน เมืองเวียงไซย เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล แต่ถือเป็นเมืองที่เป็นหัวใจของการท่องเที่ยวของแขวงหัวพัน เพราะเป็นเมืองที่มีลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงาม ป่าไม้เขียวขจี ทุ่งนายาวเหยียดที่ทอดไปตามแนวภูผา ภูเขาหินปูนที่ตั้งเรียงรายเสมือนหนึ่งเป็นกำแพงทางธรรมชาติที่โอบล้อมเมืองทั้งเมืองไว้ มีบึงขนาดใหญ่อยู่กลางเมือง และเป็นเมืองที่มีอากาศเย็นสบายตลอดปีแม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม
ถ้ำผู้นำ แม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวแห่งเมืองเวียงไซย
สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเมืองเวียงไซยไม่ได้มีเฉพาะธรรมชาติที่งดงามเท่านั้น แต่ความสำคัญในฐานะอดีตศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพปลดปล่อยประเทศลาว ที่ตั้งทางประวัติศาสตร์ในการต่อสู้กู้ชาติ ต้านการรุกรานจากต่างชาติในสมัยสงครามอินโดจีนอย่าง “ถ้ำผู้นำ” คือแม่เหล็กดึงดูดชั้นดี
ในสมัยสงครามอินโดจีน ผู้นำขบวนการปลดปล่อยประเทศลาว ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นและศูนย์บัญชาการใหญ่เพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ เพราะเวียงไซยมีสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมเพราะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนและมีถ้ำจำนวนมาก พื้นที่โดยรอบมีหมู่ถ้ำมากกว่า 400 แห่งกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่มีเพียง 12 ถ้ำที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของชาติ ปัจจุบันเปิดให้เข้าชม 6 ถ้ำ ที่เคยใช้เป็นที่พำนักและศูนย์บัญชาการของท่านผู้นำปฏิวัติทั้ง 4 ท่านคือ ท่านไกสอน พมวิหาน, ท่านสุพานุวง (เจ้าชายแดง), ท่านหนูฮัก พูมสะหวัน และท่านคำไต สีพันดอน รวมทั้งแนวร่วมกว่า 23,000 คนในขณะนั้น
ลักษณะภายในของแต่ละถ้ำมีรูปแบบคล้ายๆ กัน คือ ประกอบด้วยห้องพัก ห้องประชุม ห้องรับแขก และห้องหลบภัยฉุกเฉินใช้เวลาที่ถูกฝ่ายตรงข้ามทิ้งระเบิด ภายในห้องจะมีเครื่องสูบอากาศจากภายนอกพร้อมระบบป้องกันแก๊สพิษและแรงระเบิด ภายในถ้ำยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อบอกเล่าเรื่องราว ประวัติความเป็นมา และความเป็นอยู่ในถ้ำสมัยนั้นให้นักท่องเที่ยวได้ชม ภาพของท่านผู้นำในกิจกรรมต่างๆ การพบปะกันของผู้นำจากต่างประเทศ โรงเรียนในถ้ำ ภาพหญิงสาวถือปืน และอื่นๆ ที่ทำให้เรื่องราวของสงครามอินโดจีนผุดขึ้นในสมองของเรา
ถ้ำท่านไกสอน พมวิหาน เป็นถ้ำในภูเขาหินปูน ในปี 1964 ท่านไกสอน อดีตประธานปะเทดลาว ได้โยกย้ายเข้ามาใช้เป็นที่พำนักและที่ทำการของกองทัพ ประกอบด้วยห้องต่างๆ เหมือนถ้ำอื่นๆ และยังมีห้องพักของแกนนำ ศูนย์กลางพรรคและรับแขกต่างประเทศ รวมถึงห้องสโมสรสำหรับไว้เล่นกีฬาและศิลปะต่างๆ เพราะท่านประธานไกสอนเป็นผู้ที่ชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะปิงปอง
ถ้ำท่านสุพานุวง ตั้งอยู่ใกล้กับถ้ำท่านไกสอน ภายในตกแต่งเช่นเดียวกันเพียงแต่ไม่มีห้องพักแกนนำ บริเวณหน้าถ้ำเราจะเห็นบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ซึ่งทำเป็นรูปหัวใจ เดิมทีพื้นที่ดังกล่าวเป็นหลุมที่เกิดจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายตรงข้าม เจ้าสุพานุวงได้โปรดให้สร้างเป็นบ่อน้ำพุรูปหัวใจทับหลุมระเบิดนั้นไว้ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า ศัตรูต่างชาติได้เข้ามาย่ำยีหัวใจของคนลาวเพียงใด ประกอบกับต้นไม้ที่มีใบสีแดงเป็นพุ่มที่ปลูกอยู่รอบๆ บริเวณถ้ำ ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงให้ถึงความกล้าหาญ รักชาติ และเลือดเนื้อของคนลาว ที่ร่วมต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศ ทำให้ผู้มาเยือนอย่างเราอดคิดถึงความโหดร้ายของสงครามที่เกิดขึ้นไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีถ้ำท่านหนูฮัก พูมสะหวัน ถ้ำท่านคำไต สีพันดอน และถ้ำซึ่งใช้เป็นที่ทำการหน่วยงานอื่นๆ ของกองทัพอีกมาก เมื่อสงครามสงบลงภายใต้ชัยชนะของฝ่ายขบวนการปลดปล่อยประเทศลาว ท่านผู้นำได้กลับเข้าสู่นครหลวงเวียงจันทน์เพื่อบริหารประเทศต่อไป
ถ้ำผู้นำเมืองเวียงไซย เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่กับชุมชนอย่างผสมกลมกลืน ไม่ถูกผลักให้เป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไว้เพื่อกราบไหว้บูชา แต่เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจของคนเวียงไซยและคนทั้งประเทศ น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่นำชมที่บรรยายให้ความรู้กับเรา เต็มไปด้วยความภูมิใจเมื่อกล่าวถึงวีระอาจหาญของท่านผู้นำ และบางช่วงที่กล่าวถึงความยากลำบากและความโหดร้ายของสงคราม ความขมขื่นก็เจืออยู่ในน้ำเสียงของเขาเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วสงครามก็ไม่เคยให้ประโยชน์กับใคร
ทางการลาวต้องการให้ถ้ำผู้นำเป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของการกู้ชาติจึงดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศอีกทางหนึ่ง ซึ่งการเที่ยวชมถ้ำเหล่านี้นักท่องเที่ยวต้องติดต่อที่ศูนย์ท่องเที่ยวถ้ำอนุสรณ์ท่านไกสอน เพื่อชำระค่าธรรมเนียมในการเข้าเยี่ยมชมเสียก่อน โดยจะมีเจ้าหน้าที่นำชมและบรรยายให้ความรู้ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนถ้ำผู้นำนั้นส่วนใหญ่มาจากยุโรป ออสเตรเลีย จีน และเวียดนาม ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยยังมีจำนวนไม่มากนัก
ห่างจากเมืองเวียงไซยไปประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นด่านชายแดนสากลที่ใกล้กรุงฮานอยมากที่สุด ชื่อด่านชายแดนน้ำโส๋ย-นาแมว เชื่อมต่อเมืองชายแดนเวียดนามชื่อเมืองแทงฮ่วง คนลาวและเวียดนามเดินทางไปมาหาสู่ตลอดจนค้าขายกันได้สะดวก
เมืองเวียงไซยเป็นดินแดนที่สวยงาม เป็นเมืองมีประวัติศาสตร์ของความกล้าหาญและเสียสละของคนในชาติ สิ่งที่เราสัมผัสได้เมื่อมาถึงเมืองเวียงไซยคือ “ความสงบ” เมืองเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน มีตลาด ร้านอาหาร และที่พักไว้รองรับผู้มาเยือน ลองใช้ชีวิตแบบเนิบช้า ซึมซับบรรยากาศและประวัติศาสตร์ของเมืองอย่างไม่เร่งรีบ สัมผัสวิถีของชาวบ้านอย่างที่เขาเป็น เสพความงามของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว พร้อมอากาศดีๆ ที่หาได้ยากนักในเมือง…แล้วเราจะพบกับความอิ่มเอมของชีวิต